26 ตุลาคม 2553

เพื่อพระเจ้าหรือเพื่อตัวเอง

สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม 2010
เรื่อง เพื่อพระเจ้าหรือเพื่อตัวเอง
พระธรรม มัทธิว 6:1-8, 16-18


               พระวจนะตอนนี้ ได้เปรียบเทียบระหว่างบัญญัติที่คนยึดถือ กับเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่ต้องการให้เรายึดถือ พระเยซูสอนให้เราเข้าใจหลักการเบื้องหลังและความคิดที่ถูกต้องของธรรมบัญญัติ และย้ำเตือนให้คริสเตียนทำสิ่งต่างๆ ด้วยเข้าใจความหมายไม่ใช่สักแต่ว่าได้ทำเท่านั้น พระวจนะตอนนี้ พระเยซูได้ชี้ให้เห็นพฤติกรรมและท่าทีภายในของพวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์ ซึ่งทำสิ่งต่างๆ เพื่อเป็นการอวดอ้างตัวเอง พระเยซูเรียกคนเหล่านี้ว่าเป็น คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าคนเหล่านี้ทำศาสนกิจเพื่ออวดคนไม่ได้แสวงหาพระเจ้าอย่างแท้จริง พระเยซูรู้ถึงแรงจูงใจของพวกเค้า พระเยซูจึงสั่งห้ามคริสเตียนผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้าไม่ให้ทำตามแบบอย่างของคนพวกนี้ ผมจะให้ชื่อคำเทศนาตอนนี้ว่า เพื่อพระเจ้าหรือเพื่อตัวเอง หมายความว่าถ้าเราทำเพื่อพระเจ้า หรืออยู่เพื่อพระเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว จะต้องเป็นอย่างไร เราสามารถดูได้จากพระคัมภีร์ตอนนี้ 3 ประการ คือ

1. ไม่ทำเพื่ออวดคนอื่น (v1-2, 5, 16)
พระคัมภีร์ทั้ง 4 ข้อนี้ได้ชี้ให้เราเห็นถึงพฤติกรรมของพวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์ ซึ่งพระเยซูเรียกว่าเป็น คนหน้าซื่อใจคด การเป่าแตรไปข้างหน้า (v2) หมายถึง การทำสิ่งต่างๆ เพื่อต้องการให้คนเห็น ให้คนรู้ว่าทำอะไร หรือเรียกร้องความสนใจจากคนอื่น เพื่อคนจะได้สรรเสริญตนเอง อาการเช่นนี้ พระเยซูบอกว่า หน้าซื่อใจคด พวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์ เวลาอธิษฐานก็จะชอบไปยืนอยู่ตามถนน ตามหัวมุมตลาด ตามชุมชนที่มีคนอยู่มากๆ หรือตามธรรมศาลา เพื่อให้คนที่ผ่านไปผ่านมาเห็นว่าตนเองกำลังอธิษฐานอยู่ ทำเป็นเหมือนคนเคร่งครัดในพระศาสนา (v5) หรือเวลาอดอาหารอธิษฐานก็มักจะทำให้หน้าตามอมแมม ดูโทรมๆ ทำตัวให้ดูน่าสงสาร เพื่อเรียกร้องความสนใจจากชาวบ้าน (v16) เพื่อให้ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ ว่าพวกตนเป็นผู้ถือศาสนาอย่างเคร่งครัด เป็นคนดีทำตามธรรมบัญญัติของบรรพบุรุษ แต่พระเยซูบอกว่าหน้าซื่อใจคด ทำเพื่ออวดคนอื่น การทำเพื่ออวดคนอื่นไม่เพียงแต่อวดร่ำอวดรวยเท่านั้น ยังรวมถึงการโอ้อวดด้านคุณธรรม หรือคุณงามความดีด้วย การทำท่าทางว่าเดินกับพระเจ้าเข็มแข็ง เพียงเพราะหว่างสายตามคนอื่น กลัวว่าคนอื่นจะมองว่าวิญญาณไม่ดี หรือกลัวว่าจะหาคู่ครองไม่ได้เดี๋ยวไม่มีใครมอง หรือถูกมองว่าไม่ร้อนรน พระเยซูบอกว่าพวกธรรมาจารย์กับพวกฟาริสี สอนคนอื่นแต่ตัวเองไม่ได้ทำตามที่ตัวเองสอน ห้อยกลักพระธรรมอันใหญ่เอาไว้ที่เอว (มธ.23:1-7) กลักพระธรรมคือกล่องหนังบรรจุบทบัญญัติของโมเสส แสดงว่าเป็นคนเคร่งศาสนาของคนยิว พระเยซูเตือนว่า จงระวัง หมายถึงให้เราเอาใจใส่และระมัดระวังท่าทีของเราในการเดินติดตามพระเจ้า ที่จริงแล้วเมื่อเราเดินกับพระเจ้าเราควรเดินอย่างจริงจัง ทำอย่างเต็มที่เต็มกำลังของเราจะดีกว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ควรอย่างดีถวายเกียรติแด่พระเจ้า พระคัมภีร์ ยังได้เตือนเราว่าคนโอ้อวดจะไม่ยืนอยู่เฉพาะพระเนตรของพระองค์ (สดด.5:5) สิ่งที่เราสมควรอวดคืออวดองค์พระผู้เป็นเจ้า (2คธ.10:17) อย่าอวดตัวเองแต่ให้อวดพระเจ้า

2. พระเจ้ารู้ทุกสิ่งที่เราทำ (v3-4, 6, 17-18)
พระคัมภีร์บอกว่าไม่ว่าเราทำในที่ลับพระเจ้าก็เห็นสิ่งที่เราทำ พระเจ้าเห็นทุกอย่างที่เราทำ รู้ทุกสิ่งที่เราคิด ไม่ว่าเราจะทำอะไร อยู่ที่ไหน ในที่ลับหรือที่แจ้ง พระองค์ทรงรู้ทั้งสิ้น ทุกอย่างปรากฏต่อสายตาของพระองค์ทุกอย่าง ในข้อ 3 พระเยซูไม่ได้สอนให้เราปกปิดสิ่งดีที่เราทำ หรือว่าให้เราแอบทำสิ่งดีต่างๆ แต่สอนให้เราทำสิ่งดีโดยไม่ต้องอวดอ้างหรือประกาศให้ใครรู้ เพราะไม่ว่าใครจะรู้หรือไม่ ไม่สำคัญเพราะว่าพระเจ้าทรงรู้ พระองค์ดูที่ท่าทีภายในของเรามากกว่าการกระทำภายนอก นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า การกระทำภายนอกไม่สำคัญ การกระทำภายนอกมีผลมาจากท่าทีภายในใจของเรา ถ้าภายในถูกต้องก็จะแสดงออกมาภายนอกได้อย่างถูกต้องด้วยเช่นกัน การกระทำของเราด้วยท่าทีที่ถูกต้อง พระเจ้าไม่เคยลืม (ฮบ.6:10) และสิ่งที่เราทำด้วยท่าทีที่ถูกต้องจะไร้ประโยชน์ก็หามิได้ (1คธ.15:58) พระเจ้ามองดูการกระทำขอเราทุกสิ่ง และรู้ว่าเราเป็นอย่างไร ไม่ว่าเราทำสิ่งดี หรือทำบาป พระเจ้าทรงรู้และเห็น ที่ลับของมนุษย์ ก็เป็นที่โล่งแจ้งของพระเจ้า ดังนั้นเราต้องทำทุกสิ่งด้วยท่าทีที่ถูกต้อง ทำเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า ให้พระเจ้าได้รับเกียรติแต่เพียงผู้เดียวจากชีวิตของเรา

3. บำเหน็จมีให้กับใจถูกต้อง (v2, 4-6, 18)
จากพระคัมภีร์ทั้ง 5 ข้อดังกล่าว เราพบว่า มีแหล่งที่มาของบำเหน็จ 2 แหล่ง คือบำเหน็จที่มาจากมนุษย์ เราเห็นในข้อ 2, 5 และ 16 พระคัมภีร์บอกว่า เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว และแหล่งที่มาอีกที่หนึ่ง ก็คือ พระเจ้า เราเห็นในข้อ 4, 6 และ 18 พระคัมภีร์บอกว่า พระเจ้าทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่าน คนที่ทำเพื่อโอ้อวดจะได้รับบำเหน็จเป็นคำสรรเสริญเยินยอจากมนุษย์ แต่คนที่ทำด้วยแรงจูงใจที่ถูกต้องถวายเกียรติแด่พระเจ้า จะได้รับบำเหน็จบนสวรรค์จากพระเจ้า กระทำเหมือนกันแต่รับผลต่างกัน เราจะต้องเลือกเอาว่าเราจะรับรางวัลจากไหน นั่นขึ้นอยู่ที่แรงจูงใจที่เราทำ เพราะว่าเราหว่านอะไรเราก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น (กท.6:7) ถ้าเราหวังบำเหน็จ หรือคำชมเชยจากมนุษย์ เราก็จะไม่ได้จากพระเจ้า พระเยซูสอนเรื่องการอธิษฐานว่า เวลาอธิษฐานอย่าพูดซ้ำๆ ซากๆ (มธ.6:7-8) หาความหมายไม่ได้ หรือไม่ได้มาจากจิตใจภายในที่ต้องการอย่างแท้จริง ดังนั้นเวลาเราอธิษฐานให้เราอธิษฐานด้วยใจที่เชื่อในพระเจ้าไม่สงสัย และมีความมั่นใจว่าเราจะได้รับหากสิ่งนั้นเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ทุกคำอธิษฐานของเราจะต้องมีความหมาย ไม่ว่าอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาหาร ขอบคุณพระเจ้าก่อนนอน หรืออธิษฐานวิงวอนต่อพระเจ้าต้องมาจากใจอย่างแท้จริง

              ถ้าเราอยู่เพื่อพระเจ้าเราจะไม่ทำเพื่ออวดคนอื่น และเราตระหนักว่าพระเจ้ารู้ทุกสิ่งที่เราต้องการ รู้ทุกอย่างที่เราคิด เห็นทุกอย่างที่เราทำ และเรารู้ว่า บำเหน็จจะเป็นของคนที่มีใจที่ถูกต้อง คือมีท่าทีถูกต้อง บำเหน็จจากพระเจ้าจะเป็นของเรา ดังนั้น ไม่ว่าเราจะทำอะไร เราต้องตระหนักว่าเราจะทำเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า แม้ว่าไม่มีใครเห็น แต่เรารู้ว่าพระเจ้าทรงเห็น ชีวิตของเราจะถวายเกียรติแด่พระเจ้าตลอดไป

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น