28 ธันวาคม 2555

ความจริงเกี่ยวกับวันคริสต์มาส


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม 2012

พระธรรม 1 ทิโมธี 1:15-16
ความจริงทำให้คนเราเข้าใจอะไรมากขึ้น เมื่อเรารู้ความจริงก็ทำให้เราเข้าใจ ความจริงมีมากมายหลายเรื่องราว แต่จะมีความจริงใดจะมีผลกับชีวิตของเรามากที่สุด นอกจากความจริงเกี่ยวกับวันคริสต์มาส วันคริสต์มาส หรือเทศกาลแห่งความสุข นับได้ว่าเป็นเทศกาลเดียวในโลกก็ว่าได้ ที่ทุกประเทศในโลกต่างจัดงานเฉลิมฉลองในเทศกาลนี้ ห้างสรรพสินค้าทุกแห่งต่างตกแต่งประดับประดาด้วยต้นคริสต์มาสและไฟ เปิดเพลงคริสต์มาสตลอดช่วงเทศกาลนี้ แต่การฉลองคริสต์มาสจะมีผลกับชีวิตของเราอย่างแท้จริงได้จะต้องเข้าใจความจริงเกี่ยวกับวันคริสต์มาสก่อนว่าเป็นอย่างไร 3 ประการ
1. มนุษย์เป็นคนบาป (ข้อ15)
พระเยซูมาเกิด เพื่อช่วยคนบาปให้รอด ความบาปทำให้มนุษย์ถูกแยกจากพระเจ้า และต้องตกลงไปสู่บึงไฟนรก มีพระคัมภีร์หลายตอนที่บ่งบอกว่ามนุษย์เป็นคนบาป เช่น มธ.7:11 ถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนบาป หรือ ลก.11:13 เพราะฉะนั้นถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนบาป หรือ รม.5:8 คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา และ รม.3:23 บอกว่า เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า นี่คือความจริงประการแรก คือมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป ดังนั้นการฉลองคริสต์มาสจะมีผลต่อชีวิตของเราอย่างท้จริง เราจะต้องตระหนักว่า เราเป็นคนบาป ต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า ไม่ว่าเราจะจัดงานฉลองใหญ่โตแค่ไหน การแสดงยิ่งใหญ่อย่างไร ตกแต่งสวยงานเพียงใด ถ้าเราไม่เข้าใจความจริงที่ว่า เราเป็นคนบาป วันคริสต์มาสก็ไม่ได้มีผลกับชีวิตของเราเลย
2. พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยเรา (ข้อ16)
ไม่เพียงความจริงประการแรกที่บอกว่า มนุษย์เป็นคนบาป ความจริงประการที่ 2 คือ พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยเรา พระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อตายไถ่บาปเราที่กางเขน มีพระคัมภีร์หลายข้อที่บอกความจริงนี้แก่เรา เช่น ลก.2:11 เพราะว่าในวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลาย คือพระคริสตเจ้ามาบังเกิด หรือ 1ทธ.1:1 จากเปาโล อัครทูตของพระเยซูคริสต์ ตามพระบัญชาของพระเจ้าผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา คือพระเยซูคริสต์ หรือ 2ทธ.1:10 บัดนี้ได้ทรงสำแดงให้ประจักษ์ โดยการที่พระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเราได้เสด็จมา หรือ ตต.1:4, 2:13, 3:6 และ 2ปต.1:1 เป็นต้น นี่คือความจริงประการที่สอง คือ พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยของเรา พระองค์มาเกิดเพื่อช่วยเราให้พ้นบาปกรรม ให้หลุดพ้นจากเวรกรรมต่างๆ ที่เราได้กระทำมา เมื่อเรายอมรับความจริงนี้ วันคริสต์มาสก็จะมีความหมายกับชีวิตของเรา ความจริงทำให้เราตาสว่าง ความจริงทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงได้ แต่เราต้องยอมรับความจริงดังกล่าว
3. พระเจ้าประทานความรอดและชีวิตนิรันดร์ให้กับเรา (ข้อ16)
พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์และตายเพื่อที่จะให้ชีวิตกับเราและเป็นชีวิตนิรันดร์ คือไม่ต้องถูกพิพากษาที่บึงไฟนรกเพราะความบาปที่เราทำ เป็นชีวิตใหม่ ชีวิตที่ปราศจากบาป ชีวิตที่ชอบธรรม มีพระคัมภีร์หลายข้อที่กล่าวถึงเรื่องนี้ เช่น ยน.3:36 ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์ หรือ ยน.5:24 ถ้าผู้ใดฟังคำของเราและวางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์ หรือ ยน.6:40 เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตรและวางใจในพระบุตรได้มีชีวิตนิรันดร์ หรือ ยน.6:47, รม.5:21, 6:22 เป็นต้น พระเยซูมาเกิดเพื่อเราจะได้รับความรอด รับชีวิตนิรันดร์ พระองค์ทรงฟื้นขึ้นจากความตายในวันที่สาม พระองค์มีชัยชนะเหนือความตาย ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์จะได้รับชีวิตนิรันดร์ นี่คือความจริงประการที่ 3 คือ พระเจ้าประทานความรอดให้กับเรา ดังนั้น การจะฉลองวันคริสต์มาสอย่างมีความหมาย และมีผลกับชีวิตของเราอย่างแท้จริงเราจะต้องเข้าใจความจริงเกี่ยวกับวันคริสต์มาส และให้เราฉลองด้วยความเชื่อในพระองค์ และวันคริสต์มาสจะเป็นวันแห่งความหวัง วันแห่งความสว่าง วันแห่งความสุขสำหรับทุกคน

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

22 ธันวาคม 2555

รับพรเพื่อเป็นพร


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2012

พระธรรม ปฐมกาล 12:1-3
ทุกคนต่างก็ต้องการการอวยพรจากพระเจ้า หลายคนสอนว่า "ถ้าอยากรวยให้ถวายมากๆ" นั่นเป็นการสอนที่ไม่ถูกต้อง การถวายไม่ใช่เป็นการแลกเปลี่ยน การถวายไม่ใช่เป็นการลงทุน และการถวายไม่ใช่เป็นการทำบุญ หรือการบริจาค แต่การถวายเป็นการแสดงออกถึงความรักความไว้วางใจที่เรามีต่อพระเจ้า เป็นความศรัทธาในพระเจ้าผู้ประทานพระพรในชีวิตของเรา พระเจ้ามีแผนการที่ดีสำหรับเรา เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ เพื่อให้อนาคตที่ดีกับเรา (ยรม.29:11) และพระองค์ทรงพอใจจะอวยพรผู้ใด พระองค์ก็จะทรงอวยพรผู้นั้น ดังนั้นเราควรมีท่าทีที่ถูกต้องต่อการอวยพรของพระเจ้า ให้เราตระหนักว่าการอวยพรเป็นเอกสิทธิ์ของพระเจ้า ถ้าเราต้องการได้รับพรจากพระเจ้ามากขึ้น เราจะต้องทำอย่างไร ในพระวนจะของพระเจ้าได้บอกถึงเคล็ดลับหรือหลักของการอวยพรเอาไว้ว่า “ยิ่งจำหน่ายยิ่งมั่งคั่ง...บุคคลที่ให้ด้วยใจกว้างขวางย่อมได้รับความมั่งคั่ง” (สภษ.11:24-25) นั่นหมายถึงว่ายิ่งให้ด้วยใจยินดีเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นการอวยพรจากพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น
เราเห็นชีวิตของอับราฮัมผู้เป็นบิดาแห่งความเชื่อในพระเจ้า พระเจ้าได้เรียกอับราฮัม ในเวลานั้นมีชื่อว่า "อับราม" ให้ออกมาจากเมืองจากญาติพี่น้องจากบ้านบิดาไปยังดินแดนที่พระเจ้าจะให้ และจะอวยพรให้อับราฮัมมีชื่อเสียงใหญ่โต และให้เป็นพรแก่ผู้อื่น บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้รับพร (ปฐก.12:1-3) และพระเจ้าได้ทำพันธสัญญากับอับราฮัมว่าพระเจ้าจะให้อับราฮัม “เป็นบิดาของประชาชาติมากมาย” และพระเจ้าได้ให้ชื่อใหม่ว่า “อับราฮัม” (ปฐก.17:4-5) พระเจ้าเรียกเราเหมือนเรียกอับราฮัมให้ออกมาจากสิ่งที่เราเคยอยู่เคยเป็น แม้ว่าจะไม่ได้ย้ายที่อยู่ในฝ่ายกายภาพ แต่เป็นการย้ายในฝ่ายวิญญาณ เพื่อให้เรามารับพระพรจากพระเจ้า และให้นำพระพรนั้นไปสู่คนอื่นอีกมากมาย เมื่อเราทำตามนำพระทัยของพระเจ้า เราก็จะเห็นการอวยพรที่มาจากพระเจ้าตามพระสัญญาที่ให้ไว้กับอับราฮัม เรามาดูด้วยกันว่าเป็นอย่างไร
1. รับพรจากพระเจ้า (ปฐก.12:1-2ก)
พระเจ้าเรียกอับราฮัมให้ออกมาจากถิ่นที่อยู่อาศัย ออกมาจากความสุขสบาย ออกมาจากครอบครัว ออกมาจากความมั่นคงในชีวิต ออกมาจากความเคยชิน ไปในที่ที่ไม่เคยรู้จัก ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แต่อับราฮัมรู้อยู่อย่างเดียวว่า “พระเจ้าจะทรงอวยพร” นั่นคือเวลาที่สำคัญในชีวิตว่าจะเอาอย่างไร จะเชื่อฟังพระเจ้า หรือว่า จะทำตามใจตัวเอง อับราฮัมก็อายุมากแล้ว พ่อแม่ก็แก่แล้วจะต้องมาทิ้งท่านไปหรือ เป็นเรื่องที่ใหญ่มากสำหรับอับราฮัมเวลานี้ ถ้าเป็นเรา เราจะตัดสินใจอย่างไร ทุกคนคงจะต้องต่อรองกับพระเจ้าอย่างแน่นอน แต่ขอบคุณพระเจ้าที่อับราฮัมตัดสินใจเชื่อฟังพระเจ้า การเชื่อฟังครั้งนี้ทำให้อับราฮัมได้รับการอวยพรจากพระเจ้าอย่างมาก และพระพรนั้นก็ตกทอดมาสู่คนรุ่นหลังอย่างพวกเรา นั่นคือความรอดและชีวิตนิรันดร์ ซึ่งเป็นพระคุณที่พระเจ้าประทานให้เรา (อฟ.1:6-8) เราได้รับเช่นเดียวกับพระบุตรของพระองค์ (รม.8:32) เราเห็นพระพรมากมายที่พระเจ้าประทานให้กับอับราฮัม และพระเจ้ายังให้พรนั้นตกไปสู่คนอื่นๆ อีก (กท.3:8) เราเห็นพระเจ้าอวยพรคนของพระองค์ โดยเฉพาะคนยิวที่ถือว่าเป็นประชากรฝ่ายธรรมชาติของพระเจ้า มีคนยิวมากมายที่ได้ทำคุณประโยชน์ในโลกนี้ บางคนเป็นนักวิทยาศาสตร์ บางคนเป็นหมอ บางคนเป็นปรัชญา บางคนเป็นนักการเงินการธนาคาร คนเหล่านี้ได้รับพระพรผ่านทางอับราฮัม ที่ตอบสนองการทรงเรียกของพระเจ้า ดังนั้นลูกหลานของเราก็จะได้รับพระพรจากพระเจ้าผ่านการตอบสนองของเราเช่นกัน สำคัญที่สุดต้องเริ่มที่เราก่อน ด้วยการตอบสนองการทรงเรียกของพระเจ้าด้วยการเชื่อฟังและทำตาม พระพรส่วนแรกก็จะมาถึงเรา เมื่อเราได้รับพระพรแล้ว เราไม่ควรเก็บเอาไว้เพียงลำพัง
2. เป็นพรต่อผู้อื่น (ปฐก.12:2-3)
พระเจ้าต้องการใช้เราเป็นสื่อกลาง หรือเป็นท่อที่จะส่งพระพรไปสู่คนอื่น ทำไมพระเจ้าถึงต้องการใช้เรา พระเจ้าทำเองไม่ได้หรือ แน่นอนที่สุดพระเจ้าทำได้ แต่พระเจ้าต้องการที่จะใช้เรามากกว่า พระเจ้าสัญญากับอับราฮัมว่า “ท่านจะเป็นชนชาติใหญ่โตและมีกำลังมาก และประชาชาติทั้งหลายในโลกจะได้รับพรเพราะท่าน” (ปฐก.18:18) พระพรของพระเจ้าก็จะไหลไปสู่คนมากมายผ่านทางชีวิตของอับราฮัมอย่างไร ก็จะไหลผ่านเราไปสู่คนอื่นอย่างนั้น เราต้องเป็นท่อพระพรของพระเจ้า แต่เราจะเป็นอย่างนั้นได้ เราต้องทำตามสิ่งที่พระเจ้าบอกคือ เราต้องรักพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ สุดกำลังความคิดของเรา และรักคนอื่นก่อน (มก.12:30-31) เมื่อเรารักพระเจ้าแล้ว เราก็สามารถรักคนอื่นได้ และเมื่อเรารักคนอื่นเราก็จะทำสิ่งที่ดีให้กับคนอื่นได้อย่างเต็มใจ เราสามารถหนุ่นใจ ให้กำลังใจ ให้ควาช่วยเหลือ ทำสิ่งดีๆ ให้กับคนที่ไม่น่ารักได้ เมื่อเราเป็นเช่นนี้ คนทั้งหลายก็จะเห็นพระเยซูในชีวิตของเรา และเขาจะสรรเสริญพระเจ้า (มธ.5:16) ชีวิตของเราก็จะประกาศพระบารมีของพระเจ้า (1ปต.2:9) ให้เราต้องระวังอย่าเป็นท่อที่อุดตันด้วยความเห็นแก่ตัว ด้วยความอิจฉาริษยา ด้วยการใช้อารมณ์ เอาแต่ใจตัวเอง แต่จงเป็นท่อที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพระเจ้าอวยพรเรามากขึ้น ให้เรามองดูรอบๆ ตัวเราว่ามีใครบ้างที่เราจะเป็นพรให้กับเค้าได้ ให้เราจดชื่อเค้าเอาไว้ อธิษฐานเผื่อคนเหล่านั้นอย่างจริงจังทุกวัน  มองหาโอกาสว่าเราจะพูดเรื่องพระเจ้ากับคนเหล่านั้นอย่างไรดีและเมื่อไหร่ เชิญคนเหล่านั้นมาร่วมงานพิเศษ หรือกิจกรรมต่างๆ ฟังคำพยานชีวิตของคนอื่น นำเค้าต้อนรับพระเจ้า และติดตามเอาใจใส่เลี้ยงดูให้เติบโต แล้วพระพรอีกมากมายจะมาถึงชีวิตของเรา
ดังนั้นจงรับพรจากพระเจ้าและเป็นพรต่อคนอื่นต่อไป อย่าเก็บพระพรเอาไว้แต่เพียงลำพัง เพราะว่า นั่นไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าต้องการอวยพรเราและให้เราเป็นพรต่อคนอื่น

ขอพระเจ้าอวยพรครับ


ความเชื่อที่ผ่านการทดสอบ

สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม 2012

พระธรรม มัทธิว 15:21-28
พระเยซูเข้าไปยังเขตแดนของเมืองไทระและเมืองไซดอน ซึ่งเป็นเขตแดนของคนต่างชาติ มีหญิงคนนาอันคนหนึ่งมาร้องขอความเมตตาจากพระองค์ เพราะลูกสาวของนางนั้นโดนผีเข้าสิงเป็นทุกข์ลำบากยิ่งนัก ไม่ว่านางจะร้องเสียงดังขอความเมตตาจากพระเยซูเท่าไหร่ เหมือนพระองค์ไม่ทรงได้ยินสิ่งที่นางร้องขอ เสียงร้องของนางยังดังไปรบกวนโสดประสาทของสาวกของพระองค์ ทำให้สาวกเกิดความไม่พอใจไปบอกพระเยซูให้ไล่นางไปให้พ้นๆอีก ไม่เพียงเท่านั้น ดูเหมือนพระเยซูได้ดูหมิ่นถากถางโดยการพูดว่าคนต่างชาติอย่างนางนั้นเป็นเหมือนสุนัข ที่ไม่สมควรให้เอาอาหารของลูกโยนให้กินอีก นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานั้น แต่จากพระคัมภีร์ตอนนี้เราได้เห็นบางสิ่งบางอย่างในชีวิตของหญิงชาวคานาอันหรือหญิงต่างชาติคนนี้ ที่แต่ต่างไปจากคนอื่นๆ หรืออาจะแตกต่างไปจากเราทั้งหลายก็ได้ ถ้าหากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับเรา เราจะตอบสนองอย่างไร หลายคนอาจจะถอนสมอกลับบ้านไปแล้ว หลายคนอาจจะเลิกติดตามพระเจ้าไปเลยก็ได้ แต่หญิงคานาอันคนนี้ มีความเชื่ออย่างมากจนในพระเยซูได้กล่าวไว้ในข้อ 28 ว่า หญิงเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าก็มาก ให้เป็นไปตามความปรารถนาของท่านเถิด เราเห็นความเชื่อของนาง เป็นความเชื่อที่พระเจ้าพอพระทัย เป็นความเชื่อที่ผ่านการทดสอบ ซึ่งเราจะมาดูว่าพระเยซูทดสอบอะไรนางบ้าง
1. เชื่อแม้เผชิญความเงียบ (มธ.15:21-23)
นางมาร้องขอความเมตตาจากพระเยซู ไม่ว่านางจะร้องตะโกนเสียงดังมากเท่าไหร่ ดูเหมือนว่าพระเยซูไม่ได้ยิน พระองค์ไม่ได้สนใจว่านางจะเป็นอย่างไร นางจะเหนื่อยแค่ไหน ไม่สนใจว่านางจะทุกข์ทรมานอย่างไร พระองค์กับนิ่งเงียบ พระองค์ไม่มีหูหรือ หรือว่าพระองค์หูตึง สดด.94:9 พระองค์ต้องการทดสอบว่าถ้าเงียบอย่างนี้ นางจะยังเชื่ออยู่หรือเปล่า พี่น้องที่รัก พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ไม่ได้หูหนวกหรือหูตึง อสย.59:1 พระองค์ทรงได้ยินสิ่งที่เราร้องทูล ความจริงแล้วพระองค์ทรงรู้ถึงความคิดของเราที่อยู่ภายในจิตใจของเราด้วยซ้ำ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่พระเจ้าว่าจะได้ยินหรือไม่ได้ยิน แต่อยู่ที่เราว่า จะเชื่อพระองค์ต่อไปหรือไม่  จะยังมั่นคงในความเชื่ออยู่ต่อไปอีกมั้ย แม้ว่าต้องเผชิญกับความเงียบ การที่พระองค์เงียบ ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าไม่สนใจ ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าไม่รัก ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าไม่มีความสามารถ แต่เป็นการทดสอบเราว่า เรายังเชื่อมั่นคงอยู่หรือเปล่า
2. เชื่อแม้สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย (มธ.15:24-25)
เมื่อสาวกไปถามพระเยซูว่าให้ไล่นางไปให้พ้นๆ มั้ย พระเยซูตอบสาวกว่า พระองค์ไม่ได้มาตามหาคนนอกรีต ไม่ได้มาตามหาคนต่างชาติ แต่มาตามหาวงศ์วานของอิสราเอล ซึ่งคำพูดนี้บ่งบอกให้รู้ถึงเงื่อนไขบางประการว่า คนที่พระเยซูมาตามหานั้นเป็นพวกไหน เมื่อมาดูว่านางคือคนต่างชาติ ซึ่งไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขที่พระองค์จะมาให้ความช่วยเหลือ สถานการณ์เช่นนี้เป็นเหมือนทางที่ตันแล้วของหญิงต่างชาติคนนี้ แต่นางไม่ท้อใจ นางรู้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าที่มีความเมตตา นางรู้ว่าถ้าขอแล้วจะได้ นางเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่สามารถช่วยลูกของนางได้ นางร้องขอจนกว่าพระเจ้าจะเมตตา ร้องจนกว่าจะได้รับ นางเชื่อว่าพระเจ้าจะต้องให้ความเมตตาอย่างแน่นอน สดด.8:4 พี่น้องที่รักไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์อย่างไร ให้เรามองดูที่พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมไปด้วยความเมตตา อย่ามองดูที่สถานการณ์ อย่างมองดูที่สิ่งที่อยู่รอบข้างเรา แต่ให้มองที่พระเจ้าผู้ทรงใหญ่ยิ่งสูงสุด จงร้องทูลต่อไป จงขอต่อไป จนกว่าพระเจ้าจะเมตตา
3. เชื่อแม้ถูกบั่นทอนจิตใจ (มธ.15:26-27)
เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พระเยซูได้ทดสอบความเชื่อของนางว่า จะยังเชื่ออยู่อีกมั้ย พระองค์ได้ใช้คำพูดที่ฟังดูแล้วเจ็บปวดมากสำหรับคนต่างชาติอย่างนาง โดยเปรียบเปรยว่านางเป็นเหมือนกับสุนัข ซึ่งเป็นการดูถูกอย่างมาก ถ้าเป็นเรา เราจะรับได้มั้ย อุสาห์ดั่นด้นมาหา กว่าจะเดินทางมาถึง กว่าจะเบียดคนเข้ามาได้ กว่าที่จะทำให้พระเยซูพูดกับนางได้ต้องเผชิญกับอะไรมากมาย เมื่อทำให้พระเยซูพูดกับตนเองได้แล้วกลับถูกดูถูกเหยียดหยามอีก ผมเชื่อว่าถ้าเราเจอเช่นนี้เราก็คงต้องเดินจากไปอย่างแน่นอน แต่นางไม่ท้อใจง่ายๆ นางรู้ว่าตื้อเท่านั้นที่จะครองใจพระเจ้าได้ นางนึกถึงความรักที่นางมีต่อลูกสาวของนาง นางก็นึกถึงความรักของพระเจ้าว่าจะต้องมีไม่น้อยกว่านั้นแน่ ทำให้นางมีความหวังใจในพระเจ้าอย่างมาก พคค.3:17-26 การโต้ตอบของนางทำให้เราว่า ไม่เพียงนางมีความเชื่อในพระเจ้าเท่านั้น แต่นางรู้ว่านงเป็นใคร และพระองค์เป็นใคร นางมีความถ่อมใจยอมรับในสิทธิอำนาจของพระเยซูคริสต์
พี่น้องที่รักหลายครั้ง หลายสถานการณ์ เรามีความเชื่อมาก เราไม่สงสัยในพระเจ้า เรารู้ว่าพระเจ้าทรงมีความสามารถ แต่เราขาดความถ่อมใจ เราต่างกับหญิงคานาอันคนนี้ที่เราไม่มีความถ่อมใจอย่างแท้จริง เราเรียกร้องสิทธิในความเป็นบุตร นั่นก็ไม่ผิด เพราะเราเป็นบุตรของพระเจ้า แต่เราไม่ถ่อมใจ ทำให้เราไม่ได้รับคำตอบจากพระเจ้า ให้เราถ่อมใจลงต่อพระเจ้า ยอมรับในสิทธิอำนาจของพระเจ้าสิครับ

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

06 ธันวาคม 2555

พ่อแบบยาโคบ


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2012

พระธรรม ปฐมกาล 37:12-35

"พ่อ" หมายถึง "สามีของแม่" หรือ "ผู้ให้กำเนิด" ไม่ว่า พ่อ จะเป็นอย่างไร หรือเป็นแบบไหน ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นพ่ออยู่วันยังค่ำ บางคนอาจมีพ่อที่ไม่มีความรับผิดชอบ บางคนอาจมีพ่อที่เป็นนักการพนัน บางคนอาจมีพ่อขี้เหล้า บางคนอาจมีพ่อที่ชอบทำร้ายแม่ บางคนอาจมีพ่อที่ไม่สามารถให้เงินเราได้เหมือนพ่อคนอื่น แต่พ่อก็ยังเป็นพ่อของเราอยู่นั่นเอง
ไม่มีพ่อคนไหนสมบูรณ์แบบ พ่อทุกคนต่างก็มีข้อบกพร่องเสมอ ไม่ด้านหนึ่งก็ด้านใด ดังนั้นให้เราภูมิใจว่า “เราเป็นลูกมีพ่อ” และเมื่อเรามารู้จักพระเจ้าแล้ว เรามีพ่อที่สมบูรณ์แบบ เป็นพ่อที่รักเราอย่างไม่มีเงื่อนไข รักเราเสมอ รักษาสัญญา พ่อคนนั้นคือพระบิดาที่ทรงพระชนม์อยู่
วันนี้เป็นวันพ่อแห่งชาติ เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของคนไทยทั้งประเทศ เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณพ่อของเรา ผมจึงอยากจะหนุนใจพี่น้องทุกท่านด้วยพระธรรมตอนนี้ ซึ่งยาโคบเป็นตัวอย่างที่ดีของพ่อทั้งหลาย ให้เรามาดูด้วยกันว่า “พ่อแบบยาโคบ” นั้นเป็นอย่างไร
ยาโคบไม่ได้เป็นพ่อที่วิเศษวิโสอะไรมากมายนัก ยาโคบก็เป็นคนธรรมดาๆ เหมือนเรา ทำผิดมากมายมาก่อนเหมือนเรา “ยาโคบ” แปลว่า “แย่งชิง” หรือ “ฉวยเอา” เรามาดูชีวิตของยาโคบผมแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ช่วงแรก แย่งชิงเอามาจากคนอื่น คือยาโคบแย่งเอาสิทธิบุตรหัวปีมาจากเอซาวโดยการร่วมมือกับนางเรเบคาห์ผู้เป็นแม่ เมื่อแม่ได้ยินอิสอัคพูดกับเอซาวว่าให้เอซาวไปล่าสัตว์และทำแกงมาให้พ่อกินแล้วพ่อจะอวยพรให้ นางเรเบคาห์จึงไปเรียกยาโคบมาและวางแผนให้ยาโคบปลอมตัวเป็นเอซาว (ปฐก.27:18-25) บางคนอาจจะบอกว่าเอซาวขายสิทธิบุตรหัวปีให้ยาโคบเอง (ปฐก.25:29-34) ช่วงที่สอง ช่วงถูกคนอื่นแย่งชิงเอาไป คือ เมื่อยาโคบได้รับการอวยพรจากอิสอัคแล้ว ทั้งอิสอัคและนางเรเบคาห์เกรงว่ายาโคบจะได้รับอันตรายจึงส่งให้ยาโคบไปอยู่กับญาติคือลุงลาบัน เมื่อยาโคบไปถึงก็พบกับนางราเชล จึงเกิดชอบนางราเชลเพราะว่ามีหน้าตาสวยงาม จึงตกลงทำงานให้กับลุง 7 ปี เพื่อจะได้แต่งงานกับนางราเชล แต่พอทำงานครบ 7 ปีลุงลาบันกลับยกนางเลอาห์พี่สาวให้โดยที่ยาโคบไม่รู้ พอรุ่งเช้าจึงรู้ว่าถูกหลก จึงไปต่อว่าลุงลาบัน ว่าทำไมถึงทำกับฉันแบบนี้ (ปฐก.29:15-27) ช่วงที่สาม ช่วงที่แย่งเอาจากพระเจ้า เป็นเวลาที่ยาโคบกำลังเดินทางกลับไปเยี่ยมอิสอัคและนางเรเบคาห์ ระหว่างทางพระเจ้าได้มาเยี่ยมเยียนยาโคบในเวลากลางคืนและได้ปล่ำสู้กัน ยาโคบกอดรัดพระเจ้าเอาไว้ไม่ยอมปล่อยจนเวลาใกล้สว่าง พระเจ้าจึงบอกให้ยาโคบปล่อย ยาโคบจึงต่อลองกับพระเจ้า ว่าให้อวยพรให้ยาโคบก่อนแล้วจึงจะปล่อย พระเจ้าจึงเปลี่ยนชื่อให้ยาโคบ เป็น อิสราเอล เพราะว่าเจ้าสู้กับพระ แย่งชิงเอามาจากคนอื่นถึงสองครั้ง แต่ยาโคบก็มีส่วนดีหลายประการ เช่น เชื่อฟังพ่อแม่ (ปฐก.28:7) มีความรับผิดชอบดี มีความสัตย์ซื่อ มีความขยัน มีความอดทน เป็นต้น ในที่สุดพระเจ้าได้อวยพรยาโคบให้มีลูก 12 คน และลูกทั้ง 12 คนเป็นบิดาของชน 12 เผ่า 12 ชนชาติ ยาโคบได้ถ่ายทอดความเชื่อไปสู่ลูกๆทุกคน  เราจะต้องถ่ายทอดความเชื่อของเราไปสู่ลูกหลานของเราให้พวกเขารักพระเจ้าเหมือนเราหรือรักมากกว่าเรา เราต้องส่งผ่านความเชื่อไปสู่คนรุ่นหลังให้มาก ให้เราเป็น "พ่อแบบยาโคบ” ดังนี้
1.พ่อที่ดูแลครอบครัว (ปฐก.37:12-14)
ยาโคบได้จัดสรรหน้าที่การงานให้กับทุกคนในครอบครัวตามความเหมาะสม ใครทำอะไรได้ให้ทำสิ่งนั้น ภรรยาให้ดูแลเรื่องอาหารการกินในบ้าน ลูกๆที่โตแล้วก็ให้ไปเลี้ยงสัตว์ คนที่ยังเล็กก็ให้ช่วยงานที่บ้าน พ่อที่ดีจะต้องบริหารจัดการ ดูแลเอาใจใส่ครอบครัวอย่างดีตามกำลังความสามารถของตนเอง ต้องจัดสรรสิ่งต่างๆ ให้กับทุกคนอย่างเหมาะสม พ่อที่ดีต้องไม่ลำเอียง ต้องไม่เลือกที่รักมักที่ชัง แม้ว่ายาโคบจะเอนเอียงไปทางนางราเชลก็ตาม พ่อที่ดีจะต้องสัตย์ซื่อต่อทุกคนในครอบครัว นี่คือพ่อแบบยาโคบที่เราควรจะเลียนแบบ
2.พ่อที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัว (ปฐก.37:33-35)
เราเห็นได้จากการที่ยาโคบเห็นเสื้อของโยเซฟที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดก็รู้ได้ทันทีว่านี้เป็นเสื้อของลูกคนไหน เพราะความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกๆ จึงทำให้ยาโคบร้องไห้ออกมาอย่างไม่ต้องอายใคร เพราะเสียใจที่ต้องสูญเสียลูกอันเป็นที่รักไป ไม่ว่าใครจะปลอบอย่างไร ยาโคบก็ไม่ฟัง ปริ่มว่าจะขาดใจตายตามลูกไปในเวลานั้น บางคนอาจจะบอกว่า โยเซฟ เป็นลูกรักของยาโคบเพราะเกิดจากนางราเชล หญิงที่ตนรักและโยเซฟเกิดเมื่อยาโคบแก่แล้ว นั่นก็ถูกต้อง แต่ยาโคบไม่ได้ต่อว่าพวกพี่ชายของโยเซฟเลยว่าทำไมไม่ดูแลน้องให้ดี ทำไมปล่อยให้เสือมากัดกินน้องไปได้ และเมื่อในเวลากันดารอาหารพวกลูกๆ จะต้องเดินทางไปรับแบ่งอาหารที่อียิปต์ ยาโคบก็ไม่อยากให้ลูกๆไป เพราะเกรงว่าจะต้องสูญเสียลูกคนหนึ่งคนใดไป พ่อที่ดีต้องมีความสัมพันธ์ดีกับทุกคนในครอบครัว ต้องรู้ว่าลูกของตนแต่ละคนเป็นอย่างไร ชอบอะไร นิสัยอย่างไร แม้ว่าลูกบางคนนิสัยอาจจะไม่ถูกใจเราก็ตาม
พ่อที่ดีต้องดูแลเอาใจใส่ครอบครัว ต้องมีความสัมพันธ์ดีกับทุกคนในครอบครัว ต้องทำตามหลักหลักคำสอนของพระคัมภีร์ และต้องถ่ายทอดให้กับทุกคนในครอบครัว ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิตติดตามพระเจ้าให้กับครอบครัว เนื่องในวันพ่อปีนี้ขอพระเจ้าอวยพรคุณพ่อทุกท่านให้เต็มไปด้วยพระพรและความชื่นชมยินดี มีสุขภาพแข็งแรงทุกท่านครับ

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

ชีวิตที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระวจนะ


สรุปคำเทศนาอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2555

ฉธบ11:18 “เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงจดจำถ้อยคำเหล่านี้ของข้าพเจ้าไว้ในจิตใจของท่านทั้งหลาย จงเอาถ้อยคำเหล่านี้พันไว้ที่มือของท่านเป็นหมายสำคัญ และจารึกไว้ที่หว่างคิ้วของท่าน

                พระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติตอนนี้ โมเสสได้นำชนชาติอิสราเอลมาจนถึงชายแดนของคานาอัน พร้อมที่จะสู่  แผ่นดินแห่งพันธสัญญา หลังจากที่ต้องเดินวนเวียนในถิ่นทุรกันดารนานถึง 40 ปี เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการทบทวน        พระบัญญัติของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง  ก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะเข้าสู่แผ่นดินที่มีน้ำผึ้งและน้ำนม ยกเว้นโมเสสที่จะไม่ได้เข้าแผ่นดินคานาอันพร้อมกับพวกเขา ดังนั้น ในตอนนี้เปรียบเสมือนคำสั่งเสียและคำกำชับของโมเสสที่ได้กล่าวต่อ     ชนชาติอิสราเอล ให้พวกเขารักษาและถือบัญญัติที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่พวกเขา ด้วยถ้อยคำที่กลั่นออกมาจากใจ เป็นคำพูดและคำเทศนาที่แฝงด้วยความรักความห่วงใย คำถามก็คือว่า เราเองจะมีชีวิตที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระวจนะได้อย่างไร จากพระวจนะตอนนี้ทำให้เรารู้ถึงหลักการที่โมเสสได้ให้แก่ชนอิสราเอล ที่พวกเขาจะดำเนินชีวิตที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระวจนะอย่างน้อย 3 ประการ คือ

           1. จะต้องฝังความคิดของเราที่พระวจนะของพระเจ้า  
       หว่างคิ้วเป็นภาพของความคิด และสมอง ในบริบทการแต่งกายของคนยิวนั้น จะมีเสื้อที่ใส่ชั้นในสุด (ทูนิค) เป็นผ้าฝ้ายหรือลินิน และจะมีเสื้อคลุมคล้ายเสื้อโค๊ทที่คนตะวันตกนิยมใส่ และพวกเขาจะใส่หมวกด้วย ซึ่งพวกเขาก็จะนำข้อพระธรรมของพระเจ้าจดและม้วนเหน็บไว้ตามหมวกและข้อมือ  คนยิวจะ คาดกลักไว้ที่หน้าผาก และในกลักนั้นจะบรรจุข้อความพระคัมภีร์ไว้เสมอ ซึ่งพวกเขาตีความตามตัวอักษร แต่แท้จริงแล้วพระเจ้าประสงค์ให้พวกเขาใคร่ครวญและระลึกถึงพระคำของพระองค์อย่างสม่ำเสมอมากกว่า
                พระเจ้าได้เน้นในเรื่องนี้เป็นอย่างมากแก่โยชูวา ยชว 1:8 อย่าให้หนังสือธรรมบัญญัตินี้ห่างเหินไปจากใจของเจ้า แต่เจ้าจงตรึกตรองตามนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน... เพื่อเขาจะไม่พลาดจากน้ำพระทัยของพระเจ้า  เราต้องสำรวจว่าเราให้ความสำคัญในการสะสมใคร่ครวญและศึกษาพระคำพระเจ้า มากน้อยแค่ไหน อย่างไร  พระเจ้าปรารถนาให้เราหยั่งรากลึกบนพื้นฐานแห่งความจริง เมื่อเราก้าวมาสู่ชีวิต คริสเตียนที่อยู่บนพื้นฐานแห่งพระคุณ  เราก็จะเห็นพลังที่เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิต  มีคริสเตียนจำนวนมากที่รู้สึกเศร้า หดหู่  และรู้สึกเหนื่อย หมดแรง  พระเจ้าไม่ต้องการให้เรามีชีวิตแบบนั้น  พระเจ้าต้องการให้เรามีแต่ความชื่นชมยินดี  มีพระพรอย่างเต็มเปี่ยม  ไปด้วยชัยชนะ  เต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา  มีสันติสุข  มีการทรงสถิตของพระเจ้า  พระคัมภีร์ได้บอกถึงฤทธิ์อำนาจ ของพระคำพระเจ้า ดังนี้ว่า
ฮบ 4:12 เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจได้ด้วย อฟ 6:17...และจงถือพระแสงของพระวิญญาณ คือ พระวจนะของพระเจ้า
พระวจนะของพระเจ้า  ที่มีฤทธิ์อำนาจเข้าไปสู่จิตใจ และจิตวิญญาณเราได้  ถ้าเราเปิดใจออก เมื่อเราน้อมรับพระคำ  จะเกิดการสัมผัสในจิตใจ พระคำมีฤทธิ์อำนาจ  ทำลายอำนาจมืด  นำการเยียวยารักษา  สร้างความหวังใจ  และนำคนให้รู้จักพระเจ้า   ปลดปล่อยเราให้เป็นไท   มีเสรีภาพ  นำมาซึ่งสันติสุข  ความชื่นชมยินดี   ฯลฯ (ยก1:5)  ถ้าเราขาดความเข้าใจให้เราทูลขอสติปัญญาจากพระเจ้า และในทางกลับกันพระคัมภีร์เองก็ได้ให้ผลของการละเลยการศึกษา ใคร่ครวญพระวจนะไว้  (ฮชย 4:6) ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้...” 
จงเป็นลูกของพระเจ้า ผู้รับใช้พระเจ้า ที่มีพระวจนะฝังอยู่ในความคิดเสมอ อย่าละเลยการศึกษาใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้าในชีวิตของท่าน  คริสตจักรจึงเห็นความสำคัญของการสอนพระวจนะในชั้นพระวจนะเพื่อชีวิต  เพื่อสมาชิกจะเข้าใจและดำเนินชีวิตตามหลักการแห่งพระวจะ  เป็นการวางรากฐานชีวิตอย่างเป็นระบบและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตได้

2.ให้หัวใจของเราประกอบด้วยพระวจนะ 
             โมเสสผู้กล่าวพระธรรมตอนนี้รู้ดีกว่า ชนชาติอิสราเอลเป็นชนชาติที่มักจะกบฎและหันเหไปจากพระเจ้า โมเสสจึงเน้นย้ำให้จิตใจของเขาทั้งหลายประกอบด้วยพระคำพระเจ้า เพื่อที่จะยับยั้งจิตใจของเขาไม่ให้หลงไปจากทางของพระองค์ (ยรม 31:33) ...เราจะบรรจุพระธรรมไว้ในเขาทั้งหลาย.. และเราจะจารึกมันไว้บนดวงใจของเขาทั้งหลาย.. จิตใจ เป็นเรื่องที่ทุกคนยอมรับว่าเป็นสิ่งที่เป็นเหมือนศูนย์กลางของความคิดมนุษย์และละเอียดอ่อนที่จะถูกชักจูงไปได้ พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ดังนี้  (ยรม 17:9, 2 คร.11:3)
            เราเพียงแต่เรียนรู้และรับข้อมูลที่หัวสมองหรือความคิดของเราโดยไม่นำลงไปที่ใจของเราด้วยนั้น ไม่เพียงพอ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น เราจะเป็นคนที่ไร้ความเมตตา และไร้ความรู้สึก เช่น ฟาริสี ที่พวกเขานั้นเป็นคนที่เชี่ยวชาญในบทบัญญัติอย่างมาก และเคร่งตามตัวบทกฎหมาย แต่พระเยซูทรงประนามพวกเขาอย่างรุนแรง ว่าพวกเขาขาดความเข้าใจและความเมตตาที่จะรักผู้ที่อ่อนแอกว่า  1 คร 8:1ความรู้ทำให้ลำพอง แต่ความรักเสริมสร้างขึ้น ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตใจ พระเจ้าทรงใส่พระทัยจิตใจของมนุษย์ มากกว่าเครื่องบูชาทั้งหลาย เคล็ดลับอย่างหนึ่งที่สำคัญของการให้พระวจนะของพระเจ้าถูกจารึกไว้ในหัวใจของเรานั้น คือ  เราต้องมีความสัมพันธ์กับพระองค์อย่างแนบแน่นเสียก่อนโดยใช้เวลากับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ (สภษ 9:10) เหล่านี้ไม่ใช่โดยกำลังของเราเองที่พยายามกระทำเพื่อที่จะให้จิตใจของเราเต็มไปด้วยพระวจนะ แต่โดยการพึ่งพระคุณของพระเยซูคริสต์  ที่ให้พระวิญญาณของพระเจ้าประทานและเติมเต็มหัวใจให้เต็มเปี่ยมด้วยพระคำของพระองค์แก่เรา เราไม่ได้เป็นผู้ชอบธรรมด้วยตัวของเราเอง  คำว่า บรรจุ แสดงให้เห็นว่า พระองค์เป็นผู้กระทำแก่เรา  สิ่งเดียวที่เราทำก็คือ ยอมจำนนต่อพระเจ้าอย่างหมดหัวใจ อย่าให้ใจเราแข็งกระด้าง แต่ขอพระเจ้าเปลี่ยนใจหินของเราเป็นใจเนื้อที่พระเจ้าจะทำการภายในเราได้

         3. ต้องประพฤติตนให้สอดคล้องกับพระวจนะ
 ยก1:22 แต่ท่านทั้งหลายจงเป็นคนที่ประพฤติตามพระวจนะนั้น ไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้ฟังเท่านั้น ซึ่งเป็นการลวงตนเอง”  คริสเตียน หรือผู้เชื่อ ได้รับพระวจนะของพระเจ้าทุก ๆ วัน และ ทุก ๆ วันอาทิตย์ ขอให้เราตอบสนองในสิ่งที่เราได้เรียนรู้   พันไว้ที่มือ  เป็นคำที่กำลังให้เราเข้าใจถึง การกระทำที่เป็นการสอดคล้องกับพระวจนะของ   พระเจ้าที่ได้สะสมไว้ในความคิด และจิตใจและได้สำแดงถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับพระคำของพระเจ้า (มธ12:33)  พระเยซู ตรัสอย่างชัดเจนว่า สิ่งที่ออกจากปาก ก็มาจากใจ การแสดงออกของเรา มักจะมาจากสิ่งที่อยู่ภายในเสมอ และเราจะตอบสนองต่อพระคำของพระเจ้าไม่ได้เลย ถ้าปราศจากพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำ อสค 36:27 “เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้าให้ปฏิบัติตามกฏหมายของเรา และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา  พระเจ้าทรงสนใจว่า จิตใจของเราเต็มล้นด้วยพระคำและล้นออกมาเป็นการกระทำที่สอดคล้องกับพระวจนะนั้นอย่างไร จงสำแดงพระวจนะของพระเจ้าด้วยชีวิตของเรา และคนรอบข้างจะเห็นพระเยซูจากการประพฤติของเรา และพระเจ้าจะได้รับเกียรติผ่านชีวิตของเรา ขอพระเจ้าช่วยเราที่ความประพฤติของเราจะสำแดงออกถึงความเชื่อในพระเจ้าของเรา    พระเจ้าประสงค์ให้เรามีชีวิตที่เป็นหนึ่งเดียวและสำแดงพระวจนะของพระเจ้าให้เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้อื่น ดังนั้น ขอให้เรายึดพระวจนะของพระเจ้าอย่างหนักแน่นมั่นคง โดยฝังไว้ในความคิด จารึกไว้ที่จิตใจ  และสำแดงออกเป็นการกระทำ  

ขอพระเจ้าอวยพระพรพี่น้องทุกท่านค่ะ

23 พฤศจิกายน 2555

ใจฟาริสี


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน 2012

พระธรรม มัทธิว 15:1-20
หลังจากที่พระเยซูได้ทำการรักษาโรคต่างๆ ของชาวบ้านที่ต้องการความช่วยเหลือของพระเยซู พระองค์กับเหล่าสาวกของพระองค์ก็ประกาศข่าวประเสริฐไปตามหมู่บ้านต่างๆ เมื่อฟาริสีได้ยินกิตติศัพท์ของพระเยซูก็ออกจากเมืองมา เพื่อจะดูว่าพระองค์กับเหล่าสาวกทำอะไรกัน และสังเกตุเห็นว่าสาวกของพระเยซูหยิบอาหารเข้าปากโดยไม่ได้ล้างมือก่อน ซึ่งฟาริสีถือว่าเป็นการผิดบทบัญญัติของบรรพบุรุษยิวที่ได้กำหนดไว้ เป็นการทำให้เกิดมลทิน จึงมาหาพระเยซูและก็ตำหนิสาวกของพระองค์ให้พระองค์ฟัง ความจริงแล้วพวกฟาริสีต้องการที่จะตำหนิพระเยซูว่า ทำไมพระองค์ไม่สอนสาวกของพระองค์ให้ทำตามบทบัญญัติที่บรรพบุรุษตั้งเอาไว้ แต่พระเยซูได้ชี้ให้ฟาริสีพวกนั้นเข้าใจถึงความจริงว่า “สิ่งที่เข้าไปในปากนั้นไม่ได้ทำให้เกิดเป็นมลทิน แต่สิ่งที่ออกมาจากภายในต่างหากที่ทำให้เกิดเป็นมลทิน” พระเยซูกำลังชี้ให้พวกฟาริสีว่า พระองค์สนใจท่าทีภายในมากกว่าสิ่งภายนอก ฟาริสีให้ความสนใจผิดที่ผิดจุดทำให้พวกเขาดำเนินชีวิตแบบผิดๆ จิตใจและท่าทีภายในเป็นเรื่องสำคัญ พระเจ้าต้องการให้เราเปลี่ยนแปลงที่จิตใจภายใน พระเจ้าเห็นความสำคัญของใจ แต่ว่าใจของฟาริสีนั้นผิด ให้เรามาดูความสำคัญของใจ และใจของฟาริสีที่บอกว่าผิดนั้นเป็นอย่างไร
1. ความสำคัญของใจ
1.1 ชีวิตเริ่มต้นที่ใจ (ข้อ18ก)
ใจเป็นที่มาของการกระทำ ที่ออกมาสู่ภายนอก เป็นที่เริ่มต้นและส่งผลต่อสิ่งอื่นๆ เหมือนกิเลสล่อให้เกิดตัณหา ตันหาก็ทำให้เกิดบาป บาปก็นำไปสู่ความตาย (ยก.1:14-15) เมื่อใจเกลียดชังก็แสดงออกมาที่สีหน้า ส่งผลให้เท้าก้าวเดินหรือไม่ก็ปากกล่าวคำไม่สุภาพออกมา หรือเมื่อใจเกลียดชัง ก็ทำให้คิดร้ายหรือคิดไม่ดีต่อคนอื่น ดังนั้นเราต้องระวังรักษาใจของเราเอาไว้ให้ดีเพราะว่าชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ (สภษ.4:23) ใจของเราเป็นเหมือนส่วนที่ควบคุมชีวิตของเราทั้งหมด
1.2 ใจสกปรกชีวิตสกปรก (ข้อ18-20)
เมื่อใจสกปรกแล้วชีวิตก็สกปรกตามไปด้วย เพราะว่าใจเป็นเหมือนต้นน้ำเมื่อต้นน้ำสกปรก น้ำที่ไหลไปตามที่ต่างๆ ก็สกปรกตามไปด้วย และเมื่อน้ำสกปรกไหลไปถูกสิ่งใดสิ่งนั้นก็สกปรกด้วยเช่นกัน สิ่งเหล่านี้เป็นกฎของธรรมชาติ แต่สำหรับพระเจ้า พระองค์ทรงดูที่ท่าทีภายใน แม้ว่าการกระทำยังไม่เกิดขึ้นมาภายนอก แต่ภายในเกิดแล้ว พระเจ้าก็ถึอว่าได้กระทำผิดแล้ว พระองค์กล่าวว่า “ฝ่ายเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นก็ได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว” (มธ.5:27-28) อย่าปล่อยให้ความคิดไปกับสิ่งที่ไม่ดี เพราะจะทำให้ชีวิตของเราไม่ดีไปด้วย ให้เราชำระใจของเราอยู่เสมอ เพื่อชีวิตของเราจะได้ถูกชำระด้วย เมื่อใจสะอาดกายก็สะอาดไปด้วย ให้เราล้างเอาความคิดที่ไม่ถูกต้องออกไป ความคิดแง่ลบ ความคิดอิจฉา ความคิดโกรธเกลียด สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายจงรับการล้างชำระด้วยพระวิญญาณให้หมดสิ้น
2. ลักษณะใจของฟาริสีที่ไม่ถูกต้องเป็นอย่างไร
2.1 ใจจับผิด (ข้อ1-3)
ฟาริสีคอยจ้องจับผิดพระเยซูกับสาวกตลอดมา ตั้งแต่สาวกของพระองค์เด็ดรวงข้าวในนา คอยจับผิดว่าพระเยซูจะรักษาคนง่อยในวันสะบาโตหรือไม่ เดินเกินกว่าที่ธรรมบัญญัติห้ามเอาไว้สำหรับวันสะบาโตหรือไม่ สิ่งต่างๆเหล่านี้บ่งบอกว่าใจของฟาริสีไม่ถูกต้อง สมควรที่จะได้รับการชำระล้างให้สะอาด ต้องให้พระวจนะและพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาชำระให้สะอาด เป็นไปได้ว่าพวกฟาริสีเอาแต่สอนบทบัญญัติแต่ตัวเองไม่ได้ประพฤติตามสิ่งที่ตนเองสอนชีวิตเลยไม่เป็นอย่างที่สอน
2.2 ใจบิดเบือน (ข้อ4-6)
นอกจากใจจับผิดแล้วฟาริสียังมีใจบิดเบือนพระวจนะของพระเจ้าอีกด้วย โดยได้ตั้งบัญญัตขึ้นมา บัญญัตินี้เรียกว่า “เรื่องโกระบาน” สอนว่าอะไรที่จะเป็นประโยชน์กับบิดามารดาแต่สิ่งนั้นต้องถวายแด่พระเจ้าแล้วไม่สามารถเอาไปได้ ซึ่งทำให้ดูว่าพวกตนมีจิตใจที่สูงส่ง แท้จริงแล้วไม่ต้องการที่จะดูแลพ่อแม่ตามที่พระบัญญัติของพระเจ้าได้สอนไว้ว่า “จงให้เกียรติแก่บิดามารดา” จิตใจของพวกเขาบิดเบือนพระวจนะของพระเจ้า เพื่อให้ตนเองได้รับประโยชน์โดยไม่สนใจว่าพระเจ้าสอนอย่างไร เราต้องระมัดระวังและทำตามพระวจนะ อย่าบิดพระวจนะเพื่อให้เข้ากับความต้องการของเรา อย่าใช้พระวจนะเพื่อตอบสนองความต้องการของเรา อะไรจริงก็ว่าจริง อะไรผิดต้องต้องว่าผิด อย่าทำดำให้เป็นขาว
2.3 ใจเสแสร้ง (ข้อ7-9)
พระเยซูเรียกพวกฟาริสีว่า “คนหน้าซื่อใจคด” ซึ่งหมายถึงข้างนอกอีกอย่างข้างในอีกอย่าง เช่น ข้างในไม่ชอบหรือเกลียด แต่แสดงออกมาหรือพูดออกมาอีกอย่างหนึ่ง อย่างนี้เรียกว่าเสแสร้ง พวกฟาริสีนมัสการพระเจ้าด้วยปากแต่ใจของเขาไม่ได้นมัสการและห่างไกลจากพระองค์ (อสย.29:13) พระเยซูบอกว่าการนมัสการของพวกเขาหาประโยชน์อะไรไม่ได้เลย (มธ.15:9) ใจของเราต้องนมัสการพระเจ้า เมื่อใจของเรานมัสการพระเจ้า ชีวิตของเราก็นมัสการพระองค์ อย่าให้ใจของเราล่องลอยไป ให้จดจ่ออยู่ที่พระเจ้าตลอดเวลา พระเยซูได้ต่อว่าพวกฟาริสีว่าเป็นคนโฉดเขลา ต้องการมาจับผิดพระองค์ (ยก.2:19-20) อย่าเสแสร้งกับพระเจ้า พระองค์ทรงรู้ในจิตใจของเรา
2.4 ใจมืดบอด (ข้อ12-14)
พวกฟาริสีปิดใจ ไม่ยอมรับคำสอนหรือคำตักเตือนของพระเยซู และยิ่งหนักกว่านั้นอีกยังไม่พอใจที่พระเยซูสอนความจริงกับพวกเค้า พระองค์จึงเปรียบพวกฟาริสีว่า “เป็นคนนำทางตาบอด” เพราะเป็นคนที่จะต้องสอนคนอื่น แต่ตัวเองกับไม่เห็นความผิดหรือข้อบกพร่องของตนเอง แม้มีคนมาสอนมาบอกก็ยังไม่เปิดใจรับเพราะความหยิ่งของพวกเขา ที่คิดว่าพวกตนเป็นฟาริสี เป็นคนที่เคร่งในกฎบัญญัติที่บรรพบุรุษได้ตั้งหรือกำหนดเอาไว้
อย่าให้เราเป็นเหมือนฟาริสี คืออย่าให้เราปิดใจ อย่าให้เราละเลยคำเตือนสติ อย่าให้เรามีใจโกรธเกลียดชิงชัง เพราะว่าชีวิตเริ่มต้นที่ใจ ถ้าใจถูกทุกสิ่งก็ถูก ให้เราระแวดระวังใจของเราเอาไว้ให้ดี ใจเป็นตัวล่อลวงที่เหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด (ยรม.17:9-10) จงขอใจใหม่จากพระเจ้า พระองค์จะทรงประทานใจเนื้อให้กับเรา (อสค.36:26-27) เป็นใจที่อ่อนสุภาพ ใจอ่อนโยน

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

ก้าวแห่งการอัศจรรย์


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน 2012

พระธรรม มัทธิว 14:24-36

เหตุการณ์ตอนนี้เป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องมาจาก 2 เหตุการณ์ที่ยอห์นซึ่งเป็นทั้งเพื่อนผู้รับใช้และเป็นทั้งญาติสนิทที่ถูกเฮโรดสั่งตัดหัวอย่างไม่สมเหตุสมผล ทำให้พระเยซูต้องการที่จะพักสงบและอธิษฐานกับพระเจ้า แต่ก็มาเห็นความทุกข์ของประชาชนที่เจ็บป่วย พระองค์ทรงเมตตาสงสารเขาเหล่านั้นจึงได้ทรงรักษาเขาให้หายทุกคน และยังได้เลี้ยงอาหารพวกประชาชนเหล่านั้นอย่างอิ่มบริบูรณ์ด้วย ไม่เพียงเท่านั้นพระเยซูยังรอส่งพวกเขากลับบ้านจนครบทุกคน พระองค์จึงได้ขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐานจนเวลาล่วงเลยมาถึงประมาณยามสาม หรือประมาณตีสาม พระองค์ก็เดินไปหาเหล่าสาวกที่ลงเรือล่วงหน้ามาก่อน ขณะที่เหล่าสาวกกำลังพายเรือทวนกระแสลมอยู่นั้นก็เห็นพระเยซูเดินมาบนน้ำคิดว่าเป็นผีก็ตกใจกลัว แต่พระเยซูบอกว่าเป็นพระองค์เอง เปโตรจึงขอให้ตนเองเดินไปบนน้ำหาพระองค์ พระเยซูก็อนุญาต แต่เมื่อเปโตรเดินไปใกล้ถึงพระเยซูเกิดกลัวจึงจมลงไปในน้ำ พระเยซูก็ช่วยเอาไว้ เมื่อพากันมาถึงฝั่งแล้ว ประชาชนก็จำได้ว่าเป็นพระเยซูจึงไปบอกคนอื่นๆ ให้พาคนเจ็บคนป่วยมาหาพระองค์ เพื่อขอแตะชายเสื้อของพระองค์ (มธ.14:34-36) การอัศจรรย์เกิดขึ้นอย่างมากมายจากเหตุการณ์ตอนนี้ โดยเฉพาะกับเปโตร สิ่งที่เปโตรทำในครั้งนี้เป็นสิ่งที่สอนเราทั้งหลายถึงเรื่องของการอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นได้อย่างดี แม้เปโตรจะก้าวเดินไปหาพระเยซูได้ไม่กี่ก้าว แต่ก็เป็นก้าวแห่งการอัศจรรย์ เราเห็นอย่างน้อย 2 ประการเกี่ยวกับก้าวแห่งการอัศจรรย์
1. กล้าที่จะก้าวออกไป (ข้อ24-29)
การอัศจรรย์จะเกิดขึ้นได้จะต้องมีความกล้าที่จะเชื่อว่าพระเจ้าจะทำการอัศจรรย์ผ่านชีวิตของเรา หรือเกิดขึ้นในชีวิตของเรา เป็นก้าวแรกแม้อาจจะยังไม่มากนัก แต่เป็นก้าวที่สำคัญ ถ้าไม่มีก้าวแรกก็จะไม่มีก้าวที่สอง เราเห็นเปโตรกล้าที่จะขอจากพระเยซู เมื่อเรากล้าที่จะขอพระเจ้าก็กล้าที่จะให้กับเรา เพื่อเราจะได้มีประสบการณ์ และจะทำให้เราก้าวต่อไป บางคนเอาแต่กลัว ครั้งแรกที่เปโตรเห็นรพระเยซูคิดว่าผีก็กลัว แต่เค้าก็อยากจะไปหา เราต้องขอให้พระเจ้าเอาความกลัวออกไปจากหัวใจของเรา และใส่ความกล้าหาญให้กับเรา ดังนั้นให้เราเริ่มต้นด้วยก้าวเล็กๆ ก้าวออกไปด้วยความกล้าหาญ ให้เรามองที่พระเจ้า ไม่มองที่ปัญหา เราเห็นว่า เมื่อเปโตรมองที่คลื่นลมก็เกิดความกลัวขึ้นมาทำให้ตัวเองจมลงไป ปัญหาไม่ได้ช่วยเรามีแต่ทำให้เราตกต่ำลง เราจึงต้องจับจ้องมองที่พระเจ้า ถ้าพระเจ้าเรียกเราให้เราตอบสนองและอย่ากลัว มองที่พระเจ้าเอาไว้
2. ก้าวไปด้วยความเชื่อ (ข้อ30-33)
เมื่อเปโตรมองที่คลื่นลม ก็ทำให้เปโตรจมลงไปในทะเล เมื่อพระเยซูช่วยเปโตรขึ้นมาได้แล้ว ก็จึงกล่าวกับเปโตรว่า ท่านสงสัยทำไม ท่านช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริง เมื่อก้าวออกไปแล้ว อย่าสงสัย จงก้าวไปด้วยความเชื่อ เมื่อก้าวมากับพระเจ้าแล้วจงเชื่อวางใจในพระเจ้า ความสงสัยในพระเจ้าไม่เคยทำให้ใครประสบความสำเร็จ แต่ความไว้วางใจในพระเจ้าเท่านั้นที่ช่วยทำให้เราประสบความสำเร็จ อย่าเป็นเหมือนเปโตร ที่มีประสพการณ์กับพระเจ้าแล้ว แต่เกิดความสงสัย เกิดความกลัวขึ้นมา สาเหตุที่เปโตรสงสัยและเกิดความกลัวขึ้นมาก็เพราะว่า เปโตรไม่ได้มองที่พระเยซู แต่มองที่คลื่นลม มองไปที่ทะเลที่ว่างเปล่า มองไปที่ความมืดที่ปกคลุมอยู่ในเวลานั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้เปโตรจมลงในทะเล จงยึดพระเจ้าเอาไว้ จงมองอยู่ที่พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุด การที่เราก้าวออกไป แน่นอนต้องมีอุปสรรค แต่พระเจ้าของเราใหญ่กว่าสิ่งเหล่านั้นมาก เมื่อพระเจ้าทรงนำเราแล้ว พระองค์จะทรงช่วยเราให้สำเร็จ (สดด.37:23-25) เมื่อเปโตรจมลงไปพระเยซูก็ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
เมื่อพระเจ้าทรงนำเราไปทางไหน ให้เราตามไปด้วยความเชื่อ ไม่สงสัยในพระเจ้าหรือแผนการของพระองค์ ให้เราไว้วางใจในพระเจ้าผู้ทรงเป็นเหมือนวานนี้ วันนี้ และสืบไปเป็นนิจ อย่าสงสัยในความรักของพระเจ้า อย่าสงสัยในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า อย่าสงสัยในความอัศจรรย์ของพระเจ้า จงกล้าที่จะก้าวออกไปและก้าวไปด้วยความเชื่อแล้วเราจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

ขอพระเจ้าอวยพรครับ