23 ธันวาคม 2553

หยั่งรากในพระคริสต์


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม 2010

จากพระธรรม โคโลสี 1:3-6

                อาจารย์เปาโล ได้หนุนใจพี่น้องที่โคโลสี โดยมองดูสิ่งดีที่เขาได้ทำมาในอดีต ทำให้อาจารย์เปาโลต้องขอบคุณพระเจ้าทุกครั้งที่นึกถึงพี่น้องที่โคโลสี เพราะเหตุที่พี่น้องที่โคโลสีได้ฝากชีวิตของพวกเค้าไว้กับพระเจ้า และยังได้ให้กำลังใจกับพี่น้องให้เดินอยู่ในทางของพระเจ้าอย่างมั่นคงต่อไป สิ่งที่อาจารย์เปาโลหนุนใจให้พี่น้องที่โคโลสีทำคือ การหยั่งรากไว้ในพระเยซูคริสต์ เพื่อชีวิตของพวกเค้าจะจำเริญขึ้น 3 ประการ ดังนี้

1 หยั่งลึกในความเชื่อ (คส.1:4)
                อาจารย์เปาโลได้ยินความเชื่อของพี่น้องที่โคโลสี ความเชื่อที่อาจารย์เปาโลกล่าวถึงนี้ ได้ให้ภาพไว้ 2 ลักษณะ คือ
1.1 ความเชื่ออย่างมั่นคง
                ความเชื่อแบบนี้ เปรียบเสมือน สมอเรือที่ทำให้เรือจอดอยู่ได้ เพราะถ้าไม่มีสมอเรือก็ไม่สามารถที่จะจอดลอยลำอยู่ได้ แต่จะถูกกระแสน้ำพัดพาไป เหมือนชีวิตของเราถ้าไม่มีสิ่งที่เราจะสามารถยึดเกาะไว้ก็ทำให้เราไหลไปตามกระแสของโลกได้ อาจารย์เปาโลได้หนุนใจให้พี่น้องที่โคโลสียึดความเชื่อเอาไว้ให้มั่นคง เพราะว่าในเวลานั้นมีคำสอนที่ผิดเพี้ยนไปเผยแพร่เข้ามามีอิทธิพลในหมู่ของผู้เชื่อ
1.2 เชื่อในพระเยซูคริสต์
                 ไม่เพียงแต่มีความเชื่ออย่างมั่นคงเท่านั้น แต่ต้องมีความเชื่ออย่างมั่นคงในพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ถ้าเราเชื่อถูกต้องชีวิตของเราก็จะถูกต้องด้วย เราต้องหยั่งลึกลงในความเชื่อที่มีพระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลาง เพราะพระองค์ทรงเป็นความรอดของเราและเป็นกำลังของเรา

2 หยั่งลึกในความรัก (คส.1:4)
                  ความเชื่อกับความรักนั้นมีความสัมพันธ์ต่อกัน เมื่อมีความเชื่อก็จะมีความรักและจะแสดงออกมา (กท.5:6) ถ้ามีความเชื่อในพระเยซูต้องรักพระเยซูและรักคนอื่นด้วย ในอดีตเราเห็นคนมีความรักต่อกันและกันอย่างชัดเจน ไม่ว่าไปที่ไหน เราสามารถที่จะไปขอน้ำขออาหารกินได้ บางที่บางแห่งสามารถขอพักค้างแรมได้ แต่ปัจจุบันเราจะหาภาพอย่างนั้นได้ยากมาก

3 หยั่งลึกในความหวัง (คส.1:5-6)
                  ความเชื่อ ความรัก จะถูกค้ำจุนด้วยความหวัง ความเชื่อจะมั่นคงได้ต้องมีความรัก และความรักจะเกิดขึ้นได้ต้องมีความหวัง อาจารย์เปาโล ให้เรามีความคาดหวัง ให้เราหยั่งรากชีวิตของเราลงในความหวังที่พระเจ้าจะทารงประทานให้กับเรา ความหวังที่อาจารย์เปาโลต้องการให้เกินขึ้นในชีวิตของเรา มีอะไรบ้าง 2 ประการคือ
3.1 หวังในสิ่งที่อยู่ในสวรรค์ (คส.1:5)
                  ความหวังใจของเราไม่ได้อยู่ที่สิ่งของในโลกนี้ แต่อยู่ที่สวรรค์เบื้องบน ที่เราจะต้องกลับไปรับเอา เป็นสิ่งที่เราได้สะสมเอาไว้เมื่อเราอยู่ในโลกนี้ พระเจ้าได้เตรียมไว้สำหรับเราแล้ว (1ปต.1:4) เป็นสิ่งที่ดีสำหรับเราทั้งหลาย แม้แต่ทูตสวรรค์ ผู้พยากรณ์ ผู้เผยพระวจนะยังสืบเสาะหา
3.2 หวังในข่าวประเสริฐ (คส.1:5-6)
                  ความหวังที่อาจารย์เปาโลต้องการให้เราหยั่งลึกลงไปนั้น ต้องเป็นความหวังที่เกิดจากข่าวประเสริฐ เป็นความหวังที่ตั้งอยู่บนรากฐานของพระวจนะของพระเจ้า ตั้งอยู่บนความจริงแห่งข่าวประเสริฐ (1ปต.1:21) เพราะข่าวประเสริฐเป็นฤทธิ์เดชที่จะเปลี่ยนชีวิตของเรา ข่าวประเสริฐมาถึงเราทำให้เราได้รับชีวิตใหม่

 ดังนั้น จงแสวงหาความจริงจากพระวจนะของพระเจ้าอยู่เสมอ จงหยั่งรากลง จงมอบชีวิตของท่านให้กับพระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงอวยพรชีวิตของท่าน (ดูได้ที่ www.churchofpeace2010.org)

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

15 ธันวาคม 2553

ความคาดหวังของเปาโล


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม 2010

พระธรรม โคโลสี 1:1-2
พระธรรมโคโลสี เขียนโดยอาจารย์เปาโล ถึงพี่น้องที่เมืองโคโลสี ประมาณปี ค.ศ. 60 เมืองโคโลสีเป็นเมืองเล็กๆ แต่มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นท่ามกลางผู้เชื่อ เมื่ออาจารย์เปาโลได้ข่าวมา จึงได้เขียนจดหมายมาหาเพื่อหนุนจิตชูใจและตักเตือนพี่น้องที่นั่น สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้อาจารย์เปาโลมีความเป็นห่วง 3 สิ่งด้วยกันคือ สิ่งแรก เริ่มมีการนมัสการทูตสวรรค์ (คส.2:18-19) แทนการนมัสการพระเจ้า เพราะคิดว่าทูตสวรรค์เป็นพระเจ้า สิ่งที่สอง เน้นที่การกระทำภายนอกมากกว่าท่าทีภายใน (คส.2:7) นั่นคือเน้นที่การกระทำ เพราะมีการสอนว่าจะรอดได้ต้องมีการเข้าสุหนัตในแบบดั่งเดิม สิ่งที่สาม มีหลักปรัชญาคำสอนของมนุษย์เกิดขึ้นมากมาย และเริ่มที่นำเข้ามาสอนในคริสตจักร ทำให้เกิดการสับสนในหมู่ผู้เชื่อ ทำให้อาจารย์เปาโลต้องเขียนจดหมายฝากมากับเอปาฟรัส เมื่ออาจารย์เปาโลส่งจดหมายมาหาแล้วอาจารย์เปาโลคาดหวังว่าเมื่อพี่น้องผู้เชื่อที่เมืองโคโลสีเมื่อได้อ่านจดหมายแล้วจะเข้าใจและทำตาม สิ่งที่อาจารย์เปาโลคาดหวังมี 3 สิ่งคือ

     1 เดินตามน้ำพระทัยพระเจ้า (คส.1:1)
อาจารย์เปาโลคาดหวังว่าพี่น้องที่โคโลสีจะเดินตามน้ำพระทัยพระเจ้า เหมือนที่อาจารย์เปาโลได้เดินตามน้ำพระทัยพระเจ้า ตลอดชีวิตของอาจารย์เปาโลตั้งแต่ได้รู้จักกับพระเจ้ามาอาจารย์เปาโลพยายามดำเนินชีวิตให้อยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้าเสมอมา เราเห็นได้จากจดหมายที่อาจารย์เปาโลเขียน โดยขึ้นต้นว่า “ข้าพเจ้าเปาโล อัครทูตของพระเยซูคริสต์ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า” ถึง 4 ฉบับด้วยกันคือ 1โครินธ์ โคโลสี เอเฟซัส และ 2ทิโมธี คริสเตียนจะต้องดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ต้องอยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้าเสมอ เราเห็นกษัตริย์ดาวิดมีบอกว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ปิติยินดีในการกระทำตามน้ำพระทัยของพระองค์” (สดด.40:8) คนที่เดินตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจะรู้จักน้ำพระทัยของพระเจ้าและจะดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสม อาจารย์เปาโลจึงได้วิงวอนให้พี่น้องที่กรุงโรมถวายตัวให้กับพระเจ้าเพื่อจะได้รู้น้ำพระทัยของพระเจ้า (รม.12:1-2) คนที่เดินตามน้ำพระทัยของพระเจ้ากับคนที่เดินตามความคิดของตนเองจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ (วว.12:6) น้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับเราทั้งหลายคือการรับใช้พระองค์ ประกาศพระนามของพระองค์ด้วยสิทธิอำนาจ
     
     2 อยู่เพื่อพระเจ้า (คส.1:1)
ไม่เพียงแต่อาจารย์เปาโลคาดหวังให้เราเดินตามน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว ยังคาดหวังให้เรามีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าอีกด้วย เราต้องตระหนักว่าพระเจ้าเลือกเราและแยกเราออกมาแล้วจากความบาปผิด มาสู่ความบริสุทธิ์ของพระองค์ เราได้รับการไถ่แล้วโดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์เจ้า ชีวิตเราต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง เมื่อก่อนเรามีเป้าหมายเพื่อตัวเราหรือคนรอบข้างเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้เราไม่ได้มีเป้าหมายเช่นนั้นอีกแล้ว แต่เราจะมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าและเพื่อคนอื่นอีกด้วย เราควรจะมีค่านิยมแบบใหม่ เป็นค่านิยมที่ถูกต้องตามแบบพระคัมภีร์ เพราะว่าเราได้รับการเลือกสรรมาเพื่อทำสิ่งที่พิเศษเพื่อพระเจ้า (1ปต.2:9) ไม่เพียงแต่ตัวเราเท่านั้นที่ได้ถูกแยกออกมาให้บริสุทธิ์ แต่ทุกสิ่งที่เรามี ทุกสิ่งที่เราจับต้อง ทุกสิ่งที่เราครอบครองอยู่ ก็ถูกแยกไว้สำหรับพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์เช่นกัน เราจึงไม่เหมือนเดิมแล้วทั้งความคิด จิตใจ เป้าหมาย ความต้องการต่างๆ เราไม่ได้มีชีวิตอยู่ไปวันๆ เท่านั้น แต่เราจะอยู่เพื่อรับใช้พระเจ้า ประกาศพาคนมาหาพระเจ้า สอนคนเหล่านั้น

3 มีความสัตย์ซื่อ (คส.1:1)
       เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว เราต้องสัตย์ซื่อในการดำเนินชีวิตติดตามพระเจ้าอย่างคงเส้นคงวา ต้องรักษาความเชื่อไว้อย่างขันแข็งตลอดชีวิตของเรา แม้ว่าพระเจ้าที่เราเชื่อเรายังไม่เคยเห็นก็ตาม (1ปต.1:8-9) ความเชื่อในพระเจ้าเป็นเหมือนรางวัล หรือโบนัส หรือมรดก เมื่อถึงเวลาเราก็จะได้รับ โยชูวาได้บอกว่า “ข้าพเจ้าได้ติดตามพระเจ้าอย่างสุดใจ” ยชว.14:8 อาจารย์เปาโลหนุนใจพี่น้องด้วยชีวิตของท่าน (อฟ.6:21) ท่านรับใช้พระเจ้าอย่างซื่อสัตย์เสมอมา ตั้งแต่ก่อนท่านจะมาพบกับพระเยซูคริสต์ระหว่างทางไปดามัสกัสเสียอีก ดังนั้นให้เราใช้เวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตของเราทุ่มเทให้กับพระเจ้าแล้วเราจะเห็นพระพรจากพระเจ้าอย่างมากมายในชีวิตของเรา

ผลที่จะเกิดขึ้นเมื่อทำตามความคาดหวังของอาจารย์เปาโล 2 ประการ
1 ได้รับพระคุณจากพระเจ้า (คส.1:2)
พระคุณของพระเจ้าจะมีบริบูรณ์ในชีวิตของเราสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะต้องเสียก็จะไม่เสียไป สิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้ก็จะได้ สิ่งที่ขาดอยู่พระองค์ก็จะทรงเพิ่มเติมให้อย่างอัศจรรย์ พระคุณของพระเจ้ามีเพียงพอสำหรับเราเสมอ อาจารย์เปาโลบอกว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราอ่อนแอฤทธิ์เดชของพระเจ้าก็จะเต็มขนาดขึ้นที่นั่น (2คร.12:9

2 ได้รับสันติสุขจากพระเจ้า (คส.1:2)
สันติสุขที่พระเจ้ามอบให้ไม่เหมือนกับความสุขของโลกนี้ ไม่มีใครสามารถมาแย่งชิงเอาไปจากเราได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเงินมากหรือน้อย หรือไม่มีเงินเลย ก็สามารถที่จะรับสันติสุขจากพระเจ้าได้ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใครก็ตามถ้าหากเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์และเดินติดตามพระเจ้าอย่างจริงใจและสัตย์ซื่อ มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าเท่านั้นท่านก็จะได้รับสันติสุขแล้ว (ดูเพิ่มเติมได้ที่ www.churchofpeace2010.org)

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

11 ธันวาคม 2553

ตอบสนองการมุ่งร้าย


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม 2010

พระธรรมเนหะมีย์ 6:1-19

เนหะมีย์กำลังเผชิญกับการมุ่งร้ายจากโทบีอาห์ สันบาลลัทและพรรคพวก โดยพุ่งเป้าไปที่ตัวของเนหะมีย์ เพราะถ้าหากสามารถที่จะจัดการกับเนหะมีย์ได้ก็จะสามารถหยุดยั้งได้ มารซาตานใช้วิธีการแบบนี้เสมอ มันจะพุ่งเป้าไปที่ผู้นำ ถ้ามันต้องการจะหยุดยั้งงานของพระเจ้า เนหะมีย์ตอบสนองต่อการมุ่งร้ายอย่างไร เราจะมาดูเนหะมีย์ว่าทำอย่างไร ก่อนอื่นให้เรามาดูรูปแบบของการมุ่งร้ายก่อนว่ามีอะไรบ้าง
1 ข่มขู่ทำร้าย (v1-4)
โทบีอาห์กับสันบาลลัทและพักพวกเริ่มใช้วิธีการที่รุนแรงขึ้นเพื่อทำให้เนหะมีย์เกิดความกลัว โดยส่งคนไปหาและบอกให้เนหะมีย์ให้ออกไปพบกันเพื่อจะได้พูดคุยกัน ทำอย่างนี้ถึง 4 ครั้ง เพราะว่าโทบีอาห์ต้องการที่จะลอบทำร้ายเนหะมีย์
2 ทำลายชื่อเสียง (v5-9)
เมื่อข่มขู่ไม่สำเร็จ ครั้งนี้ส่งจดหมายเปิดผนึก กล่าวหาว่ากำลังกบฏต่อกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส และจะตั้งตนเองเป็นพระราชาแห่งยูดาห์  จึงเรียกให้ออกไปพบเพื่อที่จะพูดคุยกัน ถ้าหากไม่ยอมออกไป ก็จะเอาเรื่องนี้ไปทูลให้กับกษัตริย์อารทาเซอร์ซีสทรงทราบ มารต้องการทำลายชื่อเสียง เพราะการมีชื่อเสียงดีก็ดีกว่าความมั่งคั่งมากมาย
3 หลอกลวง (v10-14)
เมื่อกล่าวร้ายไม่สำเร็จ จึงใช้วิธีการล่อลวงให้ทำสิ่งผิด หลอกให้เนหะมีย์ไปหลบซ่อนตัวในพระวิหารของพระเจ้า เพราะว่าถ้าอยู่ที่นั่นจะปลอดภัย เนื่องจากไม่มีใครเข้าไปได้อย่างแน่นอน ทั้งหมดนั้นเป็นรูปแบบของมารซาตานที่มักจะนำมาใช้ทำลายคนของพระเจ้า

เรามาดูการตอบสนองของเนหะมีย์ว่าเขาทำอย่างไร
1 ใช้สติปัญญา (v1-3)
เนหะมีย์รู้ทันอุบายและเข้าใจความคิด ของสันบาลลัทและโทบีอาห์ เนหะมีย์ได้เห็นพฤติกรรมต่างๆ ของสันบาลลัทและโทบีอาห์ ข้อความในจดหมายนั้นซ่อนหรือแอบแฝงอะไรไว้ เนหะมีย์อ่านความคิดในใจออก ประสบการณ์มาก รู้ว่ากำลังอยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่าเป็นอย่างไร ตอบกลับไปอย่างมีสติปัญญา ไม่ได้ใช้อารมณ์ เนหะมีย์ควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ ดังนั้น ให้เราใช้สติปัญญา ไม่ใช้อารมณ์ และที่สำคัญเราต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้
2 ไม่ประนีประนอม (v4)
เนหะมีย์ถูกรบเร้าถึง 4 ครั้ง แต่ไม่ได้โอนอ่อนผ่อนตามการรบเร้า บางคนอาจจะยอมทำเพราะทนต่อการรบเร้าไม่ไหว หรือไปเพราะเกรงใจ คริสเตียนเป็นคนที่มีความเกรงใจคนอื่น แต่ก็ไม่ประนีประนอม ถ้าสิ่งใดไม่ถูกต้องก็ไม่ยอมทำตามเช่นกัน การโอนอ่อนผ่อนตามในสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็จะเป็นผลเสีย ตัวอย่างของซาอูล โอนอ่อนผ่อนตามเสียงเรียกร้องของประชาชน พี่น้องที่รักแม้ว่าคนรอบข้างจะรบเร้าสักเท่าใดก็ตามเราจะต้องไม่โอนอ่อนผ่อนตามหรือทำบาปต่อพระเจ้า
3 ยึดมั่นในหลักการ (v11)
เนหะมีย์ถูกหลอกให้เข้าไปซ่อนตัวในพระวิหาร ถ้าเนหะมีย์เข้าไปก็เป็นการทำผิดธรรมบัญญัติของพระเจ้า คำเชิญชวนบางครั้งดูเหมือนดี ดูแล้วก็เป็นสิ่งปรกติที่คนทั่วๆไปเขาทำกัน แต่ความเป็นจริงแล้วมันผิดในหลักการของพระเจ้า เราต้องยืนหยัดในหลักการ ถ้าเรารักษาพระบัญญัติของพระเจ้าก็เท่ากับเรารักษาชีวิต 
4 ไม่ท้อถอย (v9, 15-16)
เนหะมีย์ต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย แต่เนหะมีย์ก็ไม่ย่อท้อ ยิ่งมีแรงกดดันมากขึ้นเนหะมีย์ก็ยิ่งทำงานหนักขึ้นจนสามารถเอาชนและประสบความสำเร็จใน 52 วัน ดังนั้นถ้าเราไม่ย่อท้อแล้วความสำเร็จก็จะเป็นของเรา อัครทูตแม้ว่าจะถูกจับติดคุก แม้พระเจ้าช่วยเค้าออกมาแล้วก็ยังประกาศต่อไป เราต้องอดทน ไม่ท้อถอย แล้วสิ่งต่างๆ ก็จะพ่ายแพ้ไป

พี่น้องที่รักครับไม่ว่าวันนี้เรากำลังเผชิญอยู่กับปัญหาสิ่งใดๆ จงรู้เถอะว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา พระองค์จะทรงนำพาทุกย่างเท้าของเรา ขอเพียงเรายืนหยัดมั่นคงในพระวจนะของพระเจ้า ไม่ท้อถอย รอคอยพระเจ้า ชัยชนะและความสำเร็จที่พระเจ้าจะประทานให้กับเรา (ดูเนื้อหาที่ www.churchofpeace2010.org)

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

16 พฤศจิกายน 2553

ขอขอบพระคุณ

ขอขอบคุณพี่น้องคริสตชนทุกท่านที่ได้ไปรวมตัวและร่วมใจกันอธิษฐานขอพรจากพระเจ้าเพื่อประเทศไทยของเรา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน ที่สนามหลวงและใต้สะพานพระราม8 ขอบคุณพี่น้องที่ไปร่วมกันหลายพันคน เราได้เห็นบรรยากาศความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของพี่น้องที่มาร่วมโดยไม่มีการแบ่งแยก สังกัด คณะนิกาย เราได้เห็นบรรยากาศการอธิษฐานที่เต็มไปด้วยความเชื่อ ความคาดหวัง

ขอบคุณผู้ที่มีส่วนสนับสนุนในการจัดงานครั้งนี้ ทั้งกรรมการจัดงานฝ่ายต่างๆ ทุกท่าน ศิษยาภิบาล-ศาสนาจารย์ทุกท่าน ที่ได้หนุนจิตชูใจพี่น้องในคริสตจักรต่างๆ ไปรวมตัวและร่วมใจกันกันอธิษฐาน และเจ้าหน้าที่ทหารที่อำนวยความสะดวกสถานที่บริเวณท้องสนามหลวง เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรที่อำนวยความสะดวกในด้านการจราจร เจ้าหน้าที่สำนักงานเขตบางพลัดที่อนุญาตให้ใช้สถานที่ใต้สะพานพระราม8

เหนือสิ่งอื่นใด ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงอยู่ด้วยและเป็นผู้กระทำให้สำเร็จทุกประการ ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงฟังคำอธิษฐานของเรา

ขอพระเจ้าเสริมกำลังและอวยพระพรพี่น้องทุกท่าน

10 พฤศจิกายน 2553

หน้าที่ของเรา

คนเราแต่ละคนมีบทบาทหน้าที่หลากหลายและแตกต่างกันไปมากบ้างน้อยบ้าง แล้วแต่ว่าคนๆนั้นมีสถานะอย่างไรในขณะนั้น  บางคนเป็นพ่อ บางคนเป็นแม่ บางคนเป็นลูก บางคนเป็นน้อง บางคนยังเรียนหนังสือ บางคนทำงาน บางคนเป็นแม่บ้าน ทุกคนต่างล้วนก็มีบทบาทหน้าที่แตกต่างกันไป

แต่คริสเตียนทุกคนมีบทบาทหน้าที่ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่พระเจ้ามอบหมายให้กับเราทุกคนตั้งแต่แรกที่เรามาเชื่อวางใจในพระเจ้า นั่นคือการประกาศ ในพระธรรมมัทธิว 28:19-20 ซึ่งคริสเตียนรู้จักพระคัมภีร์ข้อนี้เป็นอย่างดี ซึ้งถือว่าเป็นพระมหาบัญชาของพระเยซูสำหรับผู้เชื่อทุกคน กล่าวว่า "เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค"

ดังนั้น คริสเตียนทุกคนจึงมีหน้าที่ในการประกาศ ไม่ว่า จะมีของประทานหรือไม่ก็ตาม เมื่อเราทำหน้าที่ของเรา อย่างสัตย์ซื่อ พระองค์ก็สัญญาว่าจะอยู่กับเราเสมอไป เราจึงไม่อาจจะหลีกเลี่ยง หรือมีข้อแก้ตัวว่าเราไม่สามารถประกาศได้ เพราะว่าเราไม่มีของประทาน เราประกาศไม่เป็น เราพูดไม่เก่ง หรือเราไม่รู้จะประกาศอย่างไร เราไม่สามารถอ้างว่า เรายังเรียนหนังสือไม่จบ เรายังไม่ได้แต่งงาน เรายังไม่ได้เรียนพระคริสตธรรม ลูกของเรายังเล็กอยู่ หรืองานเรายุ่งมาก เราไม่สามารถบอกว่าเองเงินไปก็แล้วกัน ไปจ้างใครก็ได้ช่วยประกาศให้ที

แต่จงรู้อยู่เพียง 2 อย่างก็พอว่า เรามีหน้าออกไปประกาศ และพระเจ้าจะอยู่กับเรา เมื่อเราออกไปประกาศเรื่องราวของพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงอยู่กับเราและช่วยเหลือเราในการประกาศ พระองค์จะอยู่ที่ปากของเรา พระองค์จะประทานคำพูดให้กับเราเองเมื่อเราไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร เหมือนในพระธรรมอพยพ 4:12 "เพราะฉะนั้น ไปเถิด  เราอยู่ที่ปากของเจ้า และจะสอนคำที่ควรจะพูด" เมื่อถึงเวลาพระเจ้าจะสอนเราว่าเราควรจะพูดอย่างไร เมื่อเจอะเจอกับคำถามที่เราเองอาจจะไม่เคยถูกถามมาก่อนจะตอบอย่างไร จงเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า พระองค์สัญญาว่า พระองค์จะอยู่กับเรา และอยู่ที่ปากของเรา พระองค์จะใส่คำพูดที่ปากของเรา พระองค์จะให้คำตอบที่ดีนั้นกับเรา เมื่อเรามีใจพระเจ้าก็จะมีทางให้กับเรา

เมื่อเราทำหน้าที่ของเราอย่างดีที่สุดแล้ว ส่วนที่เกินจากนั้นไปพระเจ้าจะเป็นผู้กระทำให้กับเราเอง ขอเพียงทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ไว้วางใจพระเจ้าเท่านั้นเป็นพอ

การประกาศไม่ได้จบลงที่นำคนมาถึงความรอดในพระเยซูเท่านั้น แต่จะต้องนำคนที่ได้รับความรอดแล้วนั้นให้เติบโตขึ้นในทางของพระเจ้า คือเป็นผู้ใหญ่ในพระเยซูคริสต์ คือสามารถที่จะยืนหยัดต่อสู้กับการล่อลวงต่างๆ และสามารถเอาชนะต่อการล่อลวงเหล่านั้นได้ รวมถึงสามารถที่จะออกไปประกาศ นำคนให้มาถึงความรอดและสอนให้เขาถือรักษาสิ่งสารพัดได้อย่างที่เขาเป็น

วันนี้เราืำทำหน้าที่ที่พระเจ้ามอบหมายให้กับเราหรือยัง ถ้าหากวันนี้เรายังไม่ได้ทำหน้าที่ของเราให้เรารีบออกไปทำหน้าที่ของเราที่พระเจ้าได้มอบไว้ให้กับเรา จงเร่งรีบกระทำขณะที่ยังมีเวลา ขณะที่ตะวันยังไม่ตกดิน ขณะที่เรายังมองเห็น ขณะที่เรายังมีแรงอยู่

สำหรับท่านที่ทำหน้าที่อย่างดีแล้ว ขอพระเจ้าทรงโปรดอวยพรให้มีแต่สันติสุข ความชื่นชมยินดี ความอิ่มเอมใจตลอดเวลา

08 พฤศจิกายน 2553

เชิญรวมตัวร่วมใจอธิษฐานขอพรจากพระเจ้า

ขอเรียนเชิญพี่น้องคริสตชนทุกท่าน ทุกสังกัด ทุกคณะนิกาย

ร่วมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ขอพระพรจากพระเจ้า เพื่อประเทศไทยกลับคืนสู่สันติสุข และพ้นจากภัยพิบัติต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และขอให้พระเจ้านำพระพรนานาประการมาสู่คนไทยทั้งประเทศ รวมทั้งนำการฟื้นฟูใหญ่มาสู่ประเทศไทยของเรา

ในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน 2010 ตั้งแต่เวลา 14.00 น พบกันที่ท้องสนามหลวง ร่วมขบวนเดินอธิษฐานอวยพร ไปที่ใต้สะพานพระราม8 และนมัสการสรรเสริญพระเจ้าด้วยกันตั้งแต่เวลา 18.00-20.00 น.

กรุณาสวมเสื้อสีขาว โดยพร้อมเพียงกัน

ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ

07 พฤศจิกายน 2553

คำทักทายจากศิษยาภิบาล 7-11-2010

สวัสดีครับพี่น้องและแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน

คริสตจักรแห่งสันติภาพขอ ต้อนรับทุกท่านในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์ และขอสันติสุข สวัสดิภาพ และความชื่นชมยินดี จงดำรงอยู่กับทุกท่านในสัปดาห์นี้ครับ ผมหวังว่าสัปดาห์นี้พระเจ้าจะทรงมีบางสิ่งบางอย่างมาถึงท่าน และท่านจะได้รับพระพรเป็นของขวัญพิเศษจากพระเจ้าครับ
     อาทิตย์หน้าก็จะถึงวันที่ 14 พฤศจิกายน วันอธิษฐานแห่งชาติ จะเป็นวันที่พี่น้องคริสเตียนทั้งคนไทยและคนต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย จะไปเดินอธิษฐานขอพระพรเพื่อประเทศไทยของเรา ผมเชื่อว่าเมื่อคริสเตียนรวมใจกันเป็นหนึ่งและไปร่วมกันอธิษฐานอวยพรประเทศ ไทยเช่นนี้ เราจะเห็นพระเจ้าเทพระพรลงมาอย่างแน่นอนครับ เราจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะไปรวมพลังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับพี่น้อง คริสเตียนที่รักพระเจ้า เพื่ออธิษฐานอวยพรประเทศไทยของเราด้วยกัน ขอให้ทุกท่านใส่เสื้อสีขาวนะครับ
     เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะหมดปีนี้แล้ว ผมขอหนุนใจพี่น้องทุกท่านให้เร่งรีบทำการงานของพระเจ้าตั้งแต่ยังวันอยู่ครับ ผมเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงอวยพรคริสตจักรของพระองค์อย่างแน่นอนครับ เราจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าบนความจำกัดของเรา สุดเอื้อมของเรา คือฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ขอให้เวลาที่เหลืออยู่นี้ให้เราทำอย่างเต็มที่ในการประกาศ การติดตามผล การเลี้ยงดูแกะของพระเจ้า เมื่อวันนั้นมาถึงวันที่เรายืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าเราจะได้รายงานพระองค์ได้อย่างภาคภูมิใจครับ
     ขอให้พี่น้องอธิษฐานเผื่อเป้าหมายของเราภายในปีนี้เราอยากจะเห็น 150 คน ยืนนมัสการพระเจ้าร่วมกันกับเราที่นี่ ให้เราช่วยกันประกาศ ผมเชื่อว่าเมื่อเราลงมือทำพระองค์จะอยู่กับเราและช่วยเราให้ไปถึงเป้าหมายได้ครับ เพราะการประกาศเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าและเป็นพระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์ที่สั่งเราไว้ใน มัทธิว 28:19-20
อ.สวัสดิ์ พันชนะ
ศิษยาภิบาลคริสตจักรแห่งสันติภาพ
7-11-2010

พระเจ้าทรงดูแลจากอุบัติภัยบนท้องถนน

พระพรที่พระเจ้าทรงปกป้องจากอันตรายบนท้องถนน โดย อ.สวัสดิ์ พันชนะ ศิษยาภิบาลคริสตจักรแห่งสันติภาพ

พระเจ้าทรงปกป้องจากเหตุการณ์น้ำท่วม

พระเจ้าทรงปกป้องครอบครัวของคุณนารีนารถ(ปู) ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จากเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

05 พฤศจิกายน 2553

อธิษฐานแบบพระเยซู


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม 2010
เทศนาเรื่อง “อธิษฐานแบบพระเยซู”
พระธรรม มัทธิว 6:9-16

                 พระธรรมตอนนี้เป็นคำสอนของพระเยซูเรื่องอย่าทำศาสนกิจเพื่ออวดคนอื่น แต่ต้องทำด้วยท่าทีภายในที่ถูกต้อง ตอนนี้พระเยซูสอนเรื่องการอธิษฐาน บางคนอาจจะจำตัวอย่างคำอธิษฐานตอนนี้ไปอธิษฐานในลักษณะท่องจำ หรือเป็นบทสวด การอธิษฐานที่ถูกต้องไม่ใช่เป็นการท่องจำ หรืออธิษฐานอย่างไรความหมาย แต่สิ่งที่เราพูดหรืออธิษฐานออกมานั้น ต้องออกมาจากความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ รู้สึกอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น ทุกคำพูดหรือคำอธิษฐานมีความหมาย จึงจะทำให้คำอธิษฐานของเรามีความหมาย ไม่เพียงเท่านั้น พระเยซูยังสอนหลักการที่สำคัญให้เราอีกผ่านตัวอย่างการอธิษฐานของพระเยซูตอนนี้ ผมจะให้ชื่อคำเทศนาตอนนี้ว่า “อธิษฐานแบบพระเยซู” มีหลักการที่สำคัญ 5 ประการ ดังนี้
1 อธิษฐานต่อพระบิดา (v9)
พระเยซูเริ่มคำอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระบิดา” ซึ่งเป็นการยกย่องพระเจ้าเป็นพระบิดาผู้มีสิทธิอำนาจ ต่อมาได้กล่าวว่า “ผู้ทรงสถิตในสวรรค์” ซึ่งบ่งบอกถึงการที่พระเจ้าทรงอยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งปวง ต่อมาได้กล่าวว่า “ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่สักการะ” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นการยกย่องพระเจ้าขึ้นสูง ตัวอย่างคำอธิษฐานของพระเยซูมีแต่พระเจ้าเป็นศูนย์กลาง โดยยกพระเจ้าให้สูงขึ้น ดังนั้นการอธิษฐานของเราศูนย์กลางต้องอยู่ที่พระเจ้าไม่ใช่สิ่งอื่นใด หรือมนุษย์คนไหน พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่สูงสุดในทุกเวลาและสมควรได้รับการสรรเสริญ (สดด.96:4) เมื่อเรารู้จักพระเจ้าของเราอย่างแท้จริงแล้ว และท่าทีของเราถูกต้อง คำอธิษฐานของเราก็จะถูกต้องด้วย แต่อย่างอย่างไรก็ตามพระเจ้ามีเอกสิทธิ์ที่จะตอบคำอธิษฐานของเราด้วย เราไม่สามารถจะบังคับให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเราได้ ดังนั้นเมื่อเราอธิษฐานเราต้องยกให้พระเจ้าเป็นผู้พิจารณาว่าจะตอบเราอย่างไรหรือไม่ แต่ให้เรามั่นใจว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จได้ (มธ.19:26) สิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้แต่พระเจ้าทำได้ (ลก.18:27)
2 อธิษฐานตามน้ำพระทัย (v10)
หมายถึง การอธิษฐานขอให้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสวรรค์เกิดขึ้นในโลกด้วย ขอให้สิ่งที่เป็นพระประสงค์ของพระบิดานั้นสำเร็จตามแผนการของพระองค์ คือการนำความรอดไปสู่คนหมดโลกนี้ นั่นคือการครอบครองของพระเจ้า ดังนั้นจึงไม่ใช่อธิษฐานขอตามใจเรา แต่ตามใจพระเจ้า แต่ไม่ได้หมายความว่าเราอธิษฐานขอในสิ่งที่เราต้องการไม่ได้ เรายังสามารถอธิษฐานขอในสิ่งที่เราต้องการได้อยู่ แต่ต้องไม่บังคับพระเจ้าให้ตอบสนองตามใจของเรา เราเห็นตัวอย่างของพระเยซูคริสต์ที่อธิษฐานต่อพระบิดาที่สวนเกทเสมนี ก่อนที่พระองค์จะถูกจับ ถึง 3 ครั้ง ว่า “โอ้พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดีอย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์” (มธ.26:39) เมื่อพระเยซูยังพร้อมที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระบิดาผู้สถิตย์ในสวรรค์ เราเองก็ควรที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระบิดาเช่นเดียวกัน สิ่งที่เราควรปรารถนามากที่สุดไม่ใช่โลกนี้ เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าไม่ใช่การกินและการดื่ม “แต่เป็นความชอบธรรมและสันติสุข และความชื่นชมยินดี” (รม.14:17) ใครก็ตามที่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า พระเยซูถือว่าผู้นั้นเป็นพี่น้องชายหญิงของพระองค์ (มก.3:35) ดังนั้นเมื่อเราดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว เวลาเราอธิษฐานขอสิ่งใดเราก็จะอธิษฐานขอตามน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วยเช่นกัน
3 อธิษฐานในเรื่องที่จำเป็นของชีวิต (v11)
การอธิษฐานไม่เพียงเฉพาะการขอที่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าท่านนั้น แต่พระเจ้าเห็นถึงความจำเป็นในชีวิตของเรา เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม สิ่งที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เป็นสิ่งที่เราสามารถทูลขอจากพระเจ้าได้ แต่ตรงกันข้ามเรากลับไม่ได้อธิษฐานทูลขอจากพระเจ้า เพราะเราอาจจะคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องดูแลเราอยู่แล้ว หรือว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องได้รับ จึงไม่ค่อยมีใครอธิษฐานทูลขอจากพระเจ้า นอกจากจะอธิษฐานขอพระคุณเท่านั้น ความเป็นจริงแล้วเราควรทูลขอจากพระเจ้าสำหรับสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันของเราทุกวันด้วย แต่ทุกครั้งเราจะต้องอธิษฐานด้วยความเชื่ออย่างมีความหมาย ไม่ใช่เป็นแบบนกแก้วนกขุนทอง แต่บ่อยครั้งที่เราอธิษฐานเรามักจะอธิษฐานทูลขอสิ่งที่เกินความจำเป็นในชีวิตของเราเป็นส่วนใหญ่ หรือบางครั้งเราอธิษฐานขอจากพระเจ้าก็จริงแต่เราคาดหวังคำตอบจากมนุษย์ บางคนอาจจะติดนิสัยเกรงใจ ไม่ขออะไรจากใครเพราะว่าเกรงใจ จึงไม่ได้อธิษฐานทูลขอจากพระเจ้าด้วยเพราะเกรงใจ พระเจ้าไม่ต้องการให้เราเกรงใจในการอธิษฐานทูลขอจากพระองค์ แต่เราต้องให้สิทธิ์ในการตอบคำอธิษฐานกับพระองค์มากกว่า ดีที่สุดเมื่อเราแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อนพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งต่างๆ ให้กับที่จำเป็นในชีวิตให้กับเราเอง (มธ.6:31-33) โดยที่เราบางครั้งเราเพียงแต่คิดในใจเท่านั้นพระเจ้าก็ประทานให้กับเราแล้ว เพราะพระเจ้ารู้ถึงความจำเป็นในชีวิตของเรา ผู้เขียนพระธรรมสุภาษิต ได้อธิษฐานทูลขอจากพระเจ้าขอให้มีเพียงพอ ไม่ต้องมากหรือน้อยเกิดไป (สภษ.30:8-9) จงแสวงหาพระเจ้าและวางใจในพระเจ้า พระองค์จะทรงดูแลเรา ลูกหลานของเราจะไม่มีใครเป็นขอทาน (สดด.37:23-25)
4 อธิษฐานสารภาพบาป (v12, 14-15)
การสารภาพบาปเป็นการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับพระเจ้า พระเยซูสอนให้เราอธิษฐานสารภาพบาปและยกโทษให้กับคนที่ทำผิดกับเรา โดยเริ่มต้นในข้อ 12 ว่า “และขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์” ซึ่งตรงนี้มีความสำคัญอย่างมาก เมื่อเราสารภาพบาปของเรา กำแพงแห่งความสัมพันธ์ก็จะถูกพังทลายลง ไม่มีอะไรมาขวางกั้นระหว่างเรากับพระเจ้าได้อีกต่อไป ดังนั้นเราควรสารภาพบาปของเราทุกวัน การสารภาพบาปไม่เพียงแต่เป็นการขอการยกโทษเท่านั้น แต่เป็นกุญแจหลักของการฟื้นฟูความสัมพันธ์ ซึ่งตั้งอยู่บนเงื่อนไข คือการให้อภัย ไม่ใช่เราเรียกร้องขอการยกโทษจากพระเจ้า แต่เราไม่ให้อภัยคนอื่นที่ทำผิดกับเรา ทุกครั้งที่เราอธิษฐานเราต้องมั่นใจว่า เรามีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับพระเจ้า ซึ่งดูได้จากความสัมพันธ์ของเรากับคนอื่นว่าเป็นอย่างไร เมื่อเราให้อภัยคนอื่นพระเจ้าก็ให้อภัยเรา (มธ.6:14-15) เพราะว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งการให้อภัย ไม่ว่าความผิดบาปของเราจะมากมายสักเพียงใด พระองค์ก็สามารถยกให้กับเราจนหมดสิ้น พระองค์จะชำระเราให้สะอาด (อสย.1:18) เราต้องรักษาชีวิตของเราให้ไกลจากบาปอยู่ตลอดเวลา ต้องสารภาพบาปอยู่เสมอๆ
5 อธิษฐานขอการปกป้อง (v13)
พระเยซูสอนว่า เวลาเราอธิษฐานให้ขอพระเจ้าปกป้องให้เราพ้นจากการทดลองและสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวง เนื่องจากศัตรูของเรา คือผีมารซาตาน เรามองไม่เห็น และมันมีกลยุทธ์มากมายที่จะนำมาล่อลวงเราให้หลง เราไม่สามารถต่อสู้กับผีมารซาตานได้ด้วยกำลัง หรือศาสตราวุธฝ่ายโลกได้ เราจะต้องพึ่งพาในฤทธิ์เดชของพระเจ้า แม้ดูเหมือนว่าบางครั้งเราเข้มแข็ง เราเติบโต แต่ความจริงแล้วเรายังอ่อนแออยู่ พระเยซูเตือนเราว่า ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังและอธิษฐาน” เพื่อท่านจะไม่ต้องถูกทดลอง จิตใจพร้อมแล้วก็จริง แต่กายยังอ่อนอยู่ (มธ.26:41) เราต้องเฝ้าอธิษฐานวิงวอนต่อพระเจ้าให้เรามีชัยชนะเหนือการทดลอง มีชัยชนะเหนือผีมารซาตาน มีชัยชนะเหนือความบาป ปกป้องเราให้พ้นจากสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวง
ทั้ง 5 ประการนี้เป็นตัวอย่างคำอธิษฐานของพระเยซูคริสต์ ที่สอนเราให้เข้าใจการอธิษฐานที่ถูกต้อง เพื่อเราจะสามารถดำเนินชีวิตในโลกนี้ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ไม่ว่าเราทำสิ่งใดสิ่งนั้นถวายเกียรติแด่พระเจ้า เพื่อเราจะได้เป็นเหมือนตะเกียงที่ตั้งอยู่บนเชิงตะเกียงและส่องสว่างให้กับคนทั้งหลาย ตามน้ำพระทัยของพระเจ้าที่ทรงเรียกเราทั้งหลายให้มาเป็นสาวกของพระองค์

ขอพระเจ้าอวยพรครับ