23 พฤศจิกายน 2555

ใจฟาริสี


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน 2012

พระธรรม มัทธิว 15:1-20
หลังจากที่พระเยซูได้ทำการรักษาโรคต่างๆ ของชาวบ้านที่ต้องการความช่วยเหลือของพระเยซู พระองค์กับเหล่าสาวกของพระองค์ก็ประกาศข่าวประเสริฐไปตามหมู่บ้านต่างๆ เมื่อฟาริสีได้ยินกิตติศัพท์ของพระเยซูก็ออกจากเมืองมา เพื่อจะดูว่าพระองค์กับเหล่าสาวกทำอะไรกัน และสังเกตุเห็นว่าสาวกของพระเยซูหยิบอาหารเข้าปากโดยไม่ได้ล้างมือก่อน ซึ่งฟาริสีถือว่าเป็นการผิดบทบัญญัติของบรรพบุรุษยิวที่ได้กำหนดไว้ เป็นการทำให้เกิดมลทิน จึงมาหาพระเยซูและก็ตำหนิสาวกของพระองค์ให้พระองค์ฟัง ความจริงแล้วพวกฟาริสีต้องการที่จะตำหนิพระเยซูว่า ทำไมพระองค์ไม่สอนสาวกของพระองค์ให้ทำตามบทบัญญัติที่บรรพบุรุษตั้งเอาไว้ แต่พระเยซูได้ชี้ให้ฟาริสีพวกนั้นเข้าใจถึงความจริงว่า “สิ่งที่เข้าไปในปากนั้นไม่ได้ทำให้เกิดเป็นมลทิน แต่สิ่งที่ออกมาจากภายในต่างหากที่ทำให้เกิดเป็นมลทิน” พระเยซูกำลังชี้ให้พวกฟาริสีว่า พระองค์สนใจท่าทีภายในมากกว่าสิ่งภายนอก ฟาริสีให้ความสนใจผิดที่ผิดจุดทำให้พวกเขาดำเนินชีวิตแบบผิดๆ จิตใจและท่าทีภายในเป็นเรื่องสำคัญ พระเจ้าต้องการให้เราเปลี่ยนแปลงที่จิตใจภายใน พระเจ้าเห็นความสำคัญของใจ แต่ว่าใจของฟาริสีนั้นผิด ให้เรามาดูความสำคัญของใจ และใจของฟาริสีที่บอกว่าผิดนั้นเป็นอย่างไร
1. ความสำคัญของใจ
1.1 ชีวิตเริ่มต้นที่ใจ (ข้อ18ก)
ใจเป็นที่มาของการกระทำ ที่ออกมาสู่ภายนอก เป็นที่เริ่มต้นและส่งผลต่อสิ่งอื่นๆ เหมือนกิเลสล่อให้เกิดตัณหา ตันหาก็ทำให้เกิดบาป บาปก็นำไปสู่ความตาย (ยก.1:14-15) เมื่อใจเกลียดชังก็แสดงออกมาที่สีหน้า ส่งผลให้เท้าก้าวเดินหรือไม่ก็ปากกล่าวคำไม่สุภาพออกมา หรือเมื่อใจเกลียดชัง ก็ทำให้คิดร้ายหรือคิดไม่ดีต่อคนอื่น ดังนั้นเราต้องระวังรักษาใจของเราเอาไว้ให้ดีเพราะว่าชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ (สภษ.4:23) ใจของเราเป็นเหมือนส่วนที่ควบคุมชีวิตของเราทั้งหมด
1.2 ใจสกปรกชีวิตสกปรก (ข้อ18-20)
เมื่อใจสกปรกแล้วชีวิตก็สกปรกตามไปด้วย เพราะว่าใจเป็นเหมือนต้นน้ำเมื่อต้นน้ำสกปรก น้ำที่ไหลไปตามที่ต่างๆ ก็สกปรกตามไปด้วย และเมื่อน้ำสกปรกไหลไปถูกสิ่งใดสิ่งนั้นก็สกปรกด้วยเช่นกัน สิ่งเหล่านี้เป็นกฎของธรรมชาติ แต่สำหรับพระเจ้า พระองค์ทรงดูที่ท่าทีภายใน แม้ว่าการกระทำยังไม่เกิดขึ้นมาภายนอก แต่ภายในเกิดแล้ว พระเจ้าก็ถึอว่าได้กระทำผิดแล้ว พระองค์กล่าวว่า “ฝ่ายเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นก็ได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว” (มธ.5:27-28) อย่าปล่อยให้ความคิดไปกับสิ่งที่ไม่ดี เพราะจะทำให้ชีวิตของเราไม่ดีไปด้วย ให้เราชำระใจของเราอยู่เสมอ เพื่อชีวิตของเราจะได้ถูกชำระด้วย เมื่อใจสะอาดกายก็สะอาดไปด้วย ให้เราล้างเอาความคิดที่ไม่ถูกต้องออกไป ความคิดแง่ลบ ความคิดอิจฉา ความคิดโกรธเกลียด สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายจงรับการล้างชำระด้วยพระวิญญาณให้หมดสิ้น
2. ลักษณะใจของฟาริสีที่ไม่ถูกต้องเป็นอย่างไร
2.1 ใจจับผิด (ข้อ1-3)
ฟาริสีคอยจ้องจับผิดพระเยซูกับสาวกตลอดมา ตั้งแต่สาวกของพระองค์เด็ดรวงข้าวในนา คอยจับผิดว่าพระเยซูจะรักษาคนง่อยในวันสะบาโตหรือไม่ เดินเกินกว่าที่ธรรมบัญญัติห้ามเอาไว้สำหรับวันสะบาโตหรือไม่ สิ่งต่างๆเหล่านี้บ่งบอกว่าใจของฟาริสีไม่ถูกต้อง สมควรที่จะได้รับการชำระล้างให้สะอาด ต้องให้พระวจนะและพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาชำระให้สะอาด เป็นไปได้ว่าพวกฟาริสีเอาแต่สอนบทบัญญัติแต่ตัวเองไม่ได้ประพฤติตามสิ่งที่ตนเองสอนชีวิตเลยไม่เป็นอย่างที่สอน
2.2 ใจบิดเบือน (ข้อ4-6)
นอกจากใจจับผิดแล้วฟาริสียังมีใจบิดเบือนพระวจนะของพระเจ้าอีกด้วย โดยได้ตั้งบัญญัตขึ้นมา บัญญัตินี้เรียกว่า “เรื่องโกระบาน” สอนว่าอะไรที่จะเป็นประโยชน์กับบิดามารดาแต่สิ่งนั้นต้องถวายแด่พระเจ้าแล้วไม่สามารถเอาไปได้ ซึ่งทำให้ดูว่าพวกตนมีจิตใจที่สูงส่ง แท้จริงแล้วไม่ต้องการที่จะดูแลพ่อแม่ตามที่พระบัญญัติของพระเจ้าได้สอนไว้ว่า “จงให้เกียรติแก่บิดามารดา” จิตใจของพวกเขาบิดเบือนพระวจนะของพระเจ้า เพื่อให้ตนเองได้รับประโยชน์โดยไม่สนใจว่าพระเจ้าสอนอย่างไร เราต้องระมัดระวังและทำตามพระวจนะ อย่าบิดพระวจนะเพื่อให้เข้ากับความต้องการของเรา อย่าใช้พระวจนะเพื่อตอบสนองความต้องการของเรา อะไรจริงก็ว่าจริง อะไรผิดต้องต้องว่าผิด อย่าทำดำให้เป็นขาว
2.3 ใจเสแสร้ง (ข้อ7-9)
พระเยซูเรียกพวกฟาริสีว่า “คนหน้าซื่อใจคด” ซึ่งหมายถึงข้างนอกอีกอย่างข้างในอีกอย่าง เช่น ข้างในไม่ชอบหรือเกลียด แต่แสดงออกมาหรือพูดออกมาอีกอย่างหนึ่ง อย่างนี้เรียกว่าเสแสร้ง พวกฟาริสีนมัสการพระเจ้าด้วยปากแต่ใจของเขาไม่ได้นมัสการและห่างไกลจากพระองค์ (อสย.29:13) พระเยซูบอกว่าการนมัสการของพวกเขาหาประโยชน์อะไรไม่ได้เลย (มธ.15:9) ใจของเราต้องนมัสการพระเจ้า เมื่อใจของเรานมัสการพระเจ้า ชีวิตของเราก็นมัสการพระองค์ อย่าให้ใจของเราล่องลอยไป ให้จดจ่ออยู่ที่พระเจ้าตลอดเวลา พระเยซูได้ต่อว่าพวกฟาริสีว่าเป็นคนโฉดเขลา ต้องการมาจับผิดพระองค์ (ยก.2:19-20) อย่าเสแสร้งกับพระเจ้า พระองค์ทรงรู้ในจิตใจของเรา
2.4 ใจมืดบอด (ข้อ12-14)
พวกฟาริสีปิดใจ ไม่ยอมรับคำสอนหรือคำตักเตือนของพระเยซู และยิ่งหนักกว่านั้นอีกยังไม่พอใจที่พระเยซูสอนความจริงกับพวกเค้า พระองค์จึงเปรียบพวกฟาริสีว่า “เป็นคนนำทางตาบอด” เพราะเป็นคนที่จะต้องสอนคนอื่น แต่ตัวเองกับไม่เห็นความผิดหรือข้อบกพร่องของตนเอง แม้มีคนมาสอนมาบอกก็ยังไม่เปิดใจรับเพราะความหยิ่งของพวกเขา ที่คิดว่าพวกตนเป็นฟาริสี เป็นคนที่เคร่งในกฎบัญญัติที่บรรพบุรุษได้ตั้งหรือกำหนดเอาไว้
อย่าให้เราเป็นเหมือนฟาริสี คืออย่าให้เราปิดใจ อย่าให้เราละเลยคำเตือนสติ อย่าให้เรามีใจโกรธเกลียดชิงชัง เพราะว่าชีวิตเริ่มต้นที่ใจ ถ้าใจถูกทุกสิ่งก็ถูก ให้เราระแวดระวังใจของเราเอาไว้ให้ดี ใจเป็นตัวล่อลวงที่เหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด (ยรม.17:9-10) จงขอใจใหม่จากพระเจ้า พระองค์จะทรงประทานใจเนื้อให้กับเรา (อสค.36:26-27) เป็นใจที่อ่อนสุภาพ ใจอ่อนโยน

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

ก้าวแห่งการอัศจรรย์


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน 2012

พระธรรม มัทธิว 14:24-36

เหตุการณ์ตอนนี้เป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องมาจาก 2 เหตุการณ์ที่ยอห์นซึ่งเป็นทั้งเพื่อนผู้รับใช้และเป็นทั้งญาติสนิทที่ถูกเฮโรดสั่งตัดหัวอย่างไม่สมเหตุสมผล ทำให้พระเยซูต้องการที่จะพักสงบและอธิษฐานกับพระเจ้า แต่ก็มาเห็นความทุกข์ของประชาชนที่เจ็บป่วย พระองค์ทรงเมตตาสงสารเขาเหล่านั้นจึงได้ทรงรักษาเขาให้หายทุกคน และยังได้เลี้ยงอาหารพวกประชาชนเหล่านั้นอย่างอิ่มบริบูรณ์ด้วย ไม่เพียงเท่านั้นพระเยซูยังรอส่งพวกเขากลับบ้านจนครบทุกคน พระองค์จึงได้ขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐานจนเวลาล่วงเลยมาถึงประมาณยามสาม หรือประมาณตีสาม พระองค์ก็เดินไปหาเหล่าสาวกที่ลงเรือล่วงหน้ามาก่อน ขณะที่เหล่าสาวกกำลังพายเรือทวนกระแสลมอยู่นั้นก็เห็นพระเยซูเดินมาบนน้ำคิดว่าเป็นผีก็ตกใจกลัว แต่พระเยซูบอกว่าเป็นพระองค์เอง เปโตรจึงขอให้ตนเองเดินไปบนน้ำหาพระองค์ พระเยซูก็อนุญาต แต่เมื่อเปโตรเดินไปใกล้ถึงพระเยซูเกิดกลัวจึงจมลงไปในน้ำ พระเยซูก็ช่วยเอาไว้ เมื่อพากันมาถึงฝั่งแล้ว ประชาชนก็จำได้ว่าเป็นพระเยซูจึงไปบอกคนอื่นๆ ให้พาคนเจ็บคนป่วยมาหาพระองค์ เพื่อขอแตะชายเสื้อของพระองค์ (มธ.14:34-36) การอัศจรรย์เกิดขึ้นอย่างมากมายจากเหตุการณ์ตอนนี้ โดยเฉพาะกับเปโตร สิ่งที่เปโตรทำในครั้งนี้เป็นสิ่งที่สอนเราทั้งหลายถึงเรื่องของการอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นได้อย่างดี แม้เปโตรจะก้าวเดินไปหาพระเยซูได้ไม่กี่ก้าว แต่ก็เป็นก้าวแห่งการอัศจรรย์ เราเห็นอย่างน้อย 2 ประการเกี่ยวกับก้าวแห่งการอัศจรรย์
1. กล้าที่จะก้าวออกไป (ข้อ24-29)
การอัศจรรย์จะเกิดขึ้นได้จะต้องมีความกล้าที่จะเชื่อว่าพระเจ้าจะทำการอัศจรรย์ผ่านชีวิตของเรา หรือเกิดขึ้นในชีวิตของเรา เป็นก้าวแรกแม้อาจจะยังไม่มากนัก แต่เป็นก้าวที่สำคัญ ถ้าไม่มีก้าวแรกก็จะไม่มีก้าวที่สอง เราเห็นเปโตรกล้าที่จะขอจากพระเยซู เมื่อเรากล้าที่จะขอพระเจ้าก็กล้าที่จะให้กับเรา เพื่อเราจะได้มีประสบการณ์ และจะทำให้เราก้าวต่อไป บางคนเอาแต่กลัว ครั้งแรกที่เปโตรเห็นรพระเยซูคิดว่าผีก็กลัว แต่เค้าก็อยากจะไปหา เราต้องขอให้พระเจ้าเอาความกลัวออกไปจากหัวใจของเรา และใส่ความกล้าหาญให้กับเรา ดังนั้นให้เราเริ่มต้นด้วยก้าวเล็กๆ ก้าวออกไปด้วยความกล้าหาญ ให้เรามองที่พระเจ้า ไม่มองที่ปัญหา เราเห็นว่า เมื่อเปโตรมองที่คลื่นลมก็เกิดความกลัวขึ้นมาทำให้ตัวเองจมลงไป ปัญหาไม่ได้ช่วยเรามีแต่ทำให้เราตกต่ำลง เราจึงต้องจับจ้องมองที่พระเจ้า ถ้าพระเจ้าเรียกเราให้เราตอบสนองและอย่ากลัว มองที่พระเจ้าเอาไว้
2. ก้าวไปด้วยความเชื่อ (ข้อ30-33)
เมื่อเปโตรมองที่คลื่นลม ก็ทำให้เปโตรจมลงไปในทะเล เมื่อพระเยซูช่วยเปโตรขึ้นมาได้แล้ว ก็จึงกล่าวกับเปโตรว่า ท่านสงสัยทำไม ท่านช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริง เมื่อก้าวออกไปแล้ว อย่าสงสัย จงก้าวไปด้วยความเชื่อ เมื่อก้าวมากับพระเจ้าแล้วจงเชื่อวางใจในพระเจ้า ความสงสัยในพระเจ้าไม่เคยทำให้ใครประสบความสำเร็จ แต่ความไว้วางใจในพระเจ้าเท่านั้นที่ช่วยทำให้เราประสบความสำเร็จ อย่าเป็นเหมือนเปโตร ที่มีประสพการณ์กับพระเจ้าแล้ว แต่เกิดความสงสัย เกิดความกลัวขึ้นมา สาเหตุที่เปโตรสงสัยและเกิดความกลัวขึ้นมาก็เพราะว่า เปโตรไม่ได้มองที่พระเยซู แต่มองที่คลื่นลม มองไปที่ทะเลที่ว่างเปล่า มองไปที่ความมืดที่ปกคลุมอยู่ในเวลานั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้เปโตรจมลงในทะเล จงยึดพระเจ้าเอาไว้ จงมองอยู่ที่พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุด การที่เราก้าวออกไป แน่นอนต้องมีอุปสรรค แต่พระเจ้าของเราใหญ่กว่าสิ่งเหล่านั้นมาก เมื่อพระเจ้าทรงนำเราแล้ว พระองค์จะทรงช่วยเราให้สำเร็จ (สดด.37:23-25) เมื่อเปโตรจมลงไปพระเยซูก็ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
เมื่อพระเจ้าทรงนำเราไปทางไหน ให้เราตามไปด้วยความเชื่อ ไม่สงสัยในพระเจ้าหรือแผนการของพระองค์ ให้เราไว้วางใจในพระเจ้าผู้ทรงเป็นเหมือนวานนี้ วันนี้ และสืบไปเป็นนิจ อย่าสงสัยในความรักของพระเจ้า อย่าสงสัยในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า อย่าสงสัยในความอัศจรรย์ของพระเจ้า จงกล้าที่จะก้าวออกไปและก้าวไปด้วยความเชื่อแล้วเราจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

09 พฤศจิกายน 2555

ช่วยอย่างพระเยซู


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2012
พระธรรม มัทธิว 14:13-231

เมื่อพระเยซูทราบข่าวเรื่องยอห์นซึ่งเป็นทั้งญาติสนิทและเป็นเพื่อนที่รับใช้พระเจ้าด้วยกันเสียชีวิต พระองค์สะเทือนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับยอห์น พระเยซูต้องการจะหาที่พักสงบและอธิษฐานกับพระบิดา พระองค์เดินทางไปยังที่หนึ่ง แต่เมื่อประชาชนทราบว่าพระเยซูกำลังไปที่ใด พวกเขาก็พากันมารอพบพระองค์ เพื่อจะฟังคำสอนและให้พระองค์รักษาคนเจ็บคนป่วยให้หาย เมื่อพระเยซูเห็นความต้องการของคนที่มาหา พระองค์ มีความต้องการความช่วยเหลือ พระองค์ไม่ได้บอกให้คนเหล่านั้นรอก่อน หรือบอกกับพวกเขาว่า พระองค์ขอพักสักหน่อยก่อน แต่พระคัมภีร์ได้บอกว่า พระองค์ทรงสงสารเขาจึงได้รักษาคนป่วยของเขาให้หาย นี่คือหัวใจของพระเยซูที่สะท้อนออกมาให้เห็น เป็นการช่วยคนอื่นที่ลำบากกว่า เราเห็นสิ่งที่พระเยซูช่วยคนเหล่านั้นอย่างไรบ้าง
1.ช่วยด้วยใจเมตตา (ข้อ13-14)
พระคัมภีร์บอกว่า “พระองค์ทรงสงสารเขา” การช่วยของพระเยซูมาจากใจที่มีความเมตตาสงสาร ไม่ได้มาจากหน้าที่ แม้พระองค์จะมาเพื่อช่วยคนทั้งหลายก็จริง แต่พระองค์ไม่ได้ทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นด้วยรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ แต่ทำด้วยหัวใจที่รู้สึกสงสาร ที่เห็นความทุกข์ยาก เห็นความเจ็บป่วย เห็นความทรมานของคนเหล่านั้น ความสงสารที่พระเยซูมีนั้นมากกว่าความสะเทือนใจที่พระองค์ได้รับจากเหตุการณ์ของยอห์น พระเยซูได้เสียสละตัวเองเพื่อช่วยคนอื่นก่อน แบบอย่างของพระเยซูถูกถ่ายทอดมาถึงอาจารย์เปาโล จนทำให้อาจารย์เปาโลเสียสละด้วย ท่านกล่าวว่า ท่านยอมเสียสละ เพราะข่าวประเสริฐ (ฟป.3:8) ดังนั้นการที่เราจะช่วยเหลืออะไรใครให้เราช่วยด้วยใจที่เมตตาสงสารเหมือนพระเยซู เพราะสิ่งที่เราทำลงไปจะไม่สูญเปล่า พระเจ้าจะทรงจดจำสิ่งที่เราทำเอาไว้ (1คร.15:58) อาจารย์เปาโลบอกว่า ให้เราทำทุกสิ่งด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ด้วยการฝืนใจ (2คร.9:7) ดังนั้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไปให้เรารับเอาใจเมตตาของพระเยซูเข้ามา
2.ช่วยมากกว่าที่ขอ (ข้อ15-16)
ประชาชนเหล่านั้นที่มาหาพระเยซูเพื่อต้องการได้ยินคำสอนและการรักษาโรคจากพระเยซู คนเหล่านั้นไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านั้นอีกแล้ว เพราะพวกเค้ารู้ว่าการที่ได้ยินสิ่งที่พระเยซูสอนพวกเค้าก็มากพอสำหรับเขาแล้ว ทำให้พวกเขามีความสุขและมีความอิ่มเอมใจมากพอแล้ว แต่สาวกของพระเยซูก็มาบอกว่าเวลานี้ก็เย็นมากแล้ว ขอให้พระเยซูปล่อยให้พวกเขากลับบ้านไปเถอะ เพราะว่าที่นี่กันดานอาหาร พระเยซูจึงได้บอกให้สาวกเลี้ยงอาหารคนเหล่านั้น ซึ่งนับเฉพาะผู้ชายได้ 5000 คน พระเยซูช่วยคนเหล่านั้นมากกว่าที่พวกเขาคาดหวัง ช่วยในสิ่งที่จำเป็น ช่วยในเวลาที่เหมาะสม พระองค์ทำมากกว่าที่คิด พระเยซูสอนให้เราช่วยคนให้มากกว่าที่เขาขอจากเรา (มธ.5:40-42) เราต้องไวต่อความต้องการของคนอื่น เราต้องสังเกตและสนใจในความต้องการของคนอื่น เพื่อเราจะได้ช่วยเขาได้โดยไม่ต้องให้เขาร้องขอจากเรา
3.มองที่ความต้องการ (ข้อ17-21)
พวกสาวกมาบอกพระเยซูว่ามีแค่ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว สาวกคงคิดว่าอาหารแค่นี้จะพออะไรสำหรับคนตั้งมากมายขนาดนี้ เงินก็ไม่มีจะไปซื้ออาหาร แม้มีเงินก็ไม่รู้จะไปซื้อที่ไหน เพราะคงไม่มีใครเตรียมเอาไว้อย่างแน่นอน สาวกมองดูที่ความจำกัดของตัวเอง แต่พระเยซูมองที่ความต้องการของคนเหล่านั้น ซึ่งสิ่งที่พระเยซูมองเห็นต่างกับสิ่งที่สาวกมองเห็น เราต้องฝึกที่จะมองแบบพระเยซู มองที่ความต้องการไม่ใช่มองที่ความจำกัด เพราะพระเจ้าของเราไม่จำกัด อย่าติดอยู่ที่ความจำกัดของตัวเอง ในพระเจ้ามีทางออกเสมอ เราต้องพัฒนาความคิดของเราและเปลี่ยนให้ถูกต้อง พระเจ้าสามารถทวีคูณสิ่งที่เรามีอยู่ได้ จงมีความเชื่อ จงมองดูที่พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุด
4.ช่วยจนถึงที่สุด (ข้อ22-23)
ไม่เพียงแต่พระเยซูจะรักษาโรคให้เขา เทศนาสั่งสอน หนุนใจ ให้กำลังใจ เลี้ยงอาหารพวกเค้าแล้ว พระเยซูยังทำมากกว่านั้นอีก คือยืนส่งคนเหล่านั้นที่กินอาหารเสร็จแล้วกลับบ้านจนหมด พระองค์ไม่ได้บอกกับคนเหล่านั้นว่า เมื่อท่านทั้งหลายกินเสร็จแล้วก็กลับบ้านไปนะ เราจะไปพักผ่อนแล้ว พระองค์ไม่ได้กล่าวและทำเช่นนั้น พระองค์ส่งสาวกของพระองค์ไปพักผ่อนก่อน เพราะว่าพวกเขาเหนื่อยมามากแล้ว พระองค์รอส่งประชาชนจนหมด พระองค์ทำอย่างดีที่สุด ช่วยจนถึงที่สุด ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นภาระหนัก แล้วจึงขึ้นไปแสวงหาพระเจ้า อธิษฐานกับพระบิดาของพระองค์ พระเยซูรู้ว่าอาหารนั้นจำเป็นสำหรับร่างกาย จิตวิญญาณก็สำคัญ จึงบอกแก่เราว่า ให้เราแสวงหาอาหารนิรันดร์ด้วย (ยน.6:27) อย่างมัวแต่ที่จะช่วยคนในฝ่ายกายภาพเท่านั้น จงช่วยเหลือคนในฝ่ายวิญญาณด้วย จงช่วยทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ
ดังนั้นเราต้องขอให้เรามีวิญญาณ มีหัวใจเหมือนพระเยซูคริสต์ในการที่จะช่วยคนอย่างที่พระเยซูทำ ทำอย่างดีที่สุด ด้วยใจที่เมตตา ช่วยมากกว่าที่ขอ มองที่ความต้องการ ช่วยจนถึงที่สุด

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

01 พฤศจิกายน 2555

วิญญาณเฮโรด


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม 2012
 
พระธรรม มัทธิว 14:1-12
เป็นเหตุการณ์ที่ยอห์นถูกประหารชีวิต อันเนื่องมาจากการที่ยอห์นได้เตือนเฮโรดว่า ไม่ควรที่จะเอาภรรยาของน้องชายต่างมารดาที่ยังมีชีวิตอยู่มาเป็นภรรยาของตน แต่เนื่องจากเฮโรดหลงรักนางเฮโรเดียสอย่างหนักจึงไม่ฟังเสียงทัดทานของยอห์น เท่านั้นยังไม่พอเฮโรดยังได้จับยอห์นไปขังคุกเอาไว้อีก ความจริงเฮโรดต้องการจะฆ่ายอห์นเสียให้ตาย แต่ก็เกรงประชาชนจะไม่พอใจ จึงได้แต่ขังยอห์นเอาไว้ แต่เมื่อถึงงานฉลองวันเกิดของตนเอง ลูกสาวของนางเฮโรเดียสได้เต้นรำถวายเป็นที่ชอบใจของเฮโรดอย่างมาก จึงออกปากว่าขออะไรก็จะให้ทุกสิ่ง นางจึงขอศีรษะของยอห์นเป็นของขวัญ เฮโรดไม่ต้องการเสียหน้าจึงได้สั่งให้ทหารไปตัดศีรษะของยอห์นเอามาให้ เฮโรดมีวิญญาณไม่ถูกต้องจึงทำให้ทำสิ่งไม่ถูกต้องลงไป ทั้งๆที่ไม่ทำก็ได้ จึงทำให้เกิดผลเสียมากมายตามมา วิญญาณอย่างนี้ไม่ควรที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของเราเอเมน เรามาดูว่าวิญญาณเฮโรดมีอะไรบ้าง
1. ตอบสนองเนื้อหนัง (ข้อ3-4)
เฮโรดไม่ยอมฟังคำเตือนจากยอห์นที่หวังดีต่อเฮโรด ว่าไม่ควรรับนางเฮโรเดียสมาเป็นภรรยาเพราะเป็นการทำผิดธรรมบัญญัติของยิว เป็นการทำผิดทำบาปต่อพระเจ้า แต่เฮโรดกลับไม่ยอมฟังคำตักเตือนนั้น เพราะเฮโรดจะทำตามความต้องการฝ่ายเนื้อหนังของตน คือเฮโรดหลงรักนางเฮโรเดียสอย่างหนัก จึงไม่สนใจในความถูกต้อง หรือไม่สนใจว่าอะไรถูกอะไรผิด จะทำในสิ่งที่ตนเองต้องการเท่านั้น เมื่อยอห์นเตือนแล้วแต่ไม่ฟังยังได้จับยอห์นไปขังเอาไว้อีก ซึ่งเป็นการทำผิดมากขึ้นไปอีก เหมือนเมื่อทำบาปอันหนึ่งก็จะทำมากขึ้นไปอีก หนักขึ้นไปอีก คือตัณหาเกิดขึ้นแล้วก็ทำให้เกิดบาป และเมื่อบาปเจริญเต็มที่แล้วก็นำไปสู่ความตาย (ยก.1:14-15) เราต้องระวังที่จะไม่ให้บาปเข้ามาครอบงำชีวิตของเรา
2. คิดทำลายคนอื่น (ข้อ3-5)
เฮโรดเมื่อไม่พอใจยอห์นก็จับยอห์นไปขัง เท่านั้นยังไม่พอ ยังต้องการที่จะฆ่ายอห์นเสียให้ตายอีก วิญญาณเฮโรด เป็นวิญญาณที่ติดจะทำลายคนอื่น โดยไม่สนใจว่าคนนั้นจะมีความผิดมากน้อยเพียงใด ขอให้ได้ทำเพื่อความสะใจก็พอ แม้ว่ายอห์นจะมีความผิด ก็ไม่มากถึงขั้นที่จะถูกจับติดคุก แต่เฮโรดก็จับเอาไปขังไว้ เพื่อรอจังหวะเวลาที่จะจัดการยอห์นในภายหลัง เป็นวิญญาณแก้แค้น ซึ่งพระเจ้าไม่ต้องการให้เรามีวิญญาณแบบนี้ พระเจ้าต้องการให้เรายกโทษให้อภัย  เราต้องยืนหยัด แม้บางครั้งเราไม่ชอบเราก็ต้องเชื่อฟังพระเจ้า มากกว่าความต้องการของตัวเอง มิเช่นนั้นเราก็จะสร้างปัญหาใหม่ๆ ขึ้นมาอีก
3. รักษาหน้า (ข้อ5-9)
เฮโรดรักษาหน้าของตัวเองมากกว่ารักษาใจที่ถูกต้อง เพราะรับปากลูกสาวของนางเฮโรเดียสไปแล้วว่าขออะไรก็จะให้ ความจริงแล้วเฮโรดสามารถที่จะให้สิ่งอื่นได้ เพราะว่าความผิดที่ยอห์นกระทำยังไม่ได้มีการพิพากษา แต่เฮโรดก็ยอมทำตามที่ลูกสาวของนางเฮโรเดียสขอ แม้ว่าเฮโรดต้องการที่จะกำจัดยอห์นอยู่แล้วก็ตาม แต่การทำลักษณะเช่นนี้เป็นการที่เฮโรดรักษาหน้าของตัวเอง โดยไม่สนใจว่าถูกหรือผิด ซึ่งจะส่งผลเสียอย่างมากในอนาคต เพราะข้าราชการที่นั่งอยู่ที่นั่นย่อมรู้สึกได้ถึงความไม่ถูกต้อง ซึ่งอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ถ้าหากเฮโรด หรือนางเฮโรเดียสไม่พอใจ ก็จะถูกตัดหัวได้ สิ่งที่ป้องกันได้ก็คือเอาใจคนเหล่านั้นโดยไม่ต้องสนใจว่าจะถูกหรือไม่ เราต้องระวังเรื่องท่าทีของเรา เราต้องรักษาใจของเราให้ถูกต้องอยู่เสมอ
4. เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง (ข้อ5)
เฮโรดไม่สนใจว่าความผิดที่ยอห์นทำนั้นสมควรถึงขั้นที่จะต้องประหารชีวิตหรือไม่ แต่เป็นการตอบสนองความต้องการของตนเองที่ต้องการจะฆ่ายอห์นอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็รับตอบสนองทันที เพราะเฮโรดเอาความต้องการเป็นใหญ่ เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง พระเยซูสอนให้เราเห็นแก่ความถูกต้อง ให้เราเอาพระเจ้าเป็นใหญ่ เป็นศูนย์กลาง ให้เรายอมเสียสละเหมือนที่พระเยซูเสียสละ พระเยซูบอกว่าผู้ใดที่ไม่รับเอากางเขนของตนตามเราไป ผู้นั้นก็ไม่ควรค่ากับเรา (มธ.10:38-39) พระเจ้าจะสถาปนาคนชอบธรรมเอาไว้เป็นนิตย์ (สภษ.10:25) เราต้องให้พระเจ้าเป็นศูนย์กลางชีวิตของเราอยู่เสมอ เอาตัวเราวางไว้ข้างๆ ให้พระเจ้าเข้ามานั่งที่กลางใจของเรา เอเมน
5. ใจแข็งกระด้าง (ข้อ1-2, 9)
เมื่อลูกสาวของนางเฮโรเดียสขอศีรษะของยอห์นเป็นของขวัญ เฮโรดก็ทุกข์ใจ แต่ไม่ยอมกลับใจใหม่ แต่ใจกลับแข็งกระด้างมากขึ้นไปอีก เมื่อไม่กลับใจใหม่ ก็นำไปสู่การทำบาปมากขึ้นไปอีก ใจก็แข็งกระด้างมากขึ้นไปอีก แทนที่เฮโรดจะกลับใจใหม่ เสียใจในสิ่งที่ตนเองกระทำลงไป ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น การกลับใจใหม่คือการที่เรารู้สึกเสียใจในสิ่งที่เราได้ทำลงไป และหันหลังให้กับสิ่งเหล่านั้น คือเลิกทำอีก เรียกว่าเป็นการกลับใจใหม่แบบที่ชอบพระทัยของพระเจ้า (2คร.7:10) อย่าหยุดแค่เสียใจ แต่ต้องไปให้ไกลกว่านั้น คือเลิกที่จะทำบาปอีก หันหลังให้กับบาป รักษาใจของเรากับพระเจ้าให้ถูกต้องเพื่อใจของเราจะได้ไม่แข็งกระด้างต่อไป
 
ขอพระเจ้าอวยพรครับ

ประเทศเกาหลี

หลายวันมานี้ผมไม่ได้เข้ามาอัพเดทเลยเนื่องจากเดินทางไปเยี่ยมคริสตจักรหลายๆ คริสตจักรในประเทศเกาหลี ขอบคุณพระเจ้าที่พระเจ้าทรงอวยพรประเทศเกาหลีอย่างมากในอดีต ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมคริสตจักรที่ใหญ่ที่สุดในโลก นั่นคือคริสตจักรของอาจารย์โช หรือยองกีโช ซึ่งมีสมาชิกมากถึง 800,000 คน มีการนมัสการวันอาทิตย์ 7 รอบ มีทั้งหมด 21 เซ็นต์เตอร์ มีกลุ่มเซลล์ ทั้งหมด 39,000 กลุ่ม

แต่สิ่งที่ผู้นำของคริสตจักรนี้กล่าวกับพวกเราว่า "ตอนนี้เกาหลีกำลังตกต่ำฝ่ายวิญญาณ" เกาหลีกำลังอยู่ในช่วงขาลง เนื่องจากความเจริญทางด้านวัตถุเข้ามาอย่างมาก ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่เอาพระเจ้า หันไปให้ความสนใจเกี่ยวกับการแสดง การแต่งตัว ความสวยความงาม

แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นรากฐานที่ดี ที่คริสเตียนเกาหลียังคงรักษาเอาไว้ แม้ว่าจะมีเฉพาะกลุ่มผู้ใหญ่หรือผู้อาวุโสก็ตาม นั่นคือ การอธิษฐานอย่างเอาจริงเอาจัง คริสเตียนเกาหลียังไปอธิษฐานเช้าตรู่ในเวลาตีสี่ตีห้ากันอยู่ ยังไปอธิษฐานที่ภูเขาอธิษฐานกันอย่างเอาจริงเอาจังอยู่ ซึ่งคริสเตียนไทยจะต้องเลียนเเบบการอธิษฐานอย่างเอาจริงเอาจังของคริสเตียนเกาหลี

คริสเตียนเกาหลีเมื่อมีเวลาว่างจะขึ้นภูเขาอธิษฐาน ดังนั้นทุกวันที่ภูเขาอธิษฐานจะมีคริสเตียนขึ้นไปอธิษฐานอย่างเอาจริงเอาจังทุกวัน วันละหลายร้อยคน ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน ก็จะมีคนขึ้นไปอธิษฐาน

เห็นภาพนี้แล้วช่างประทับใจพระเจ้าจริงๆ ผมได้มีโอกาสสอบถามศิษยาภิบาลท่านหนึ่งว่า ทำไมคริสเตียนเกาหลีจึงขึ้นไปบนภูเขาอธิษฐานกันมากขนาดนี้ ศิษยาภิบาลท่านนั้นก็เล่าให้ฟังถึงสาเหตุของการขึ้นไปบนภูเขาอธิษฐานว่า "เมื่อก่อนเกาหลีเป็นประเทศที่ยากจนมาก และมีสงครามเกิดขึ้นบ่อย ทั้งกับญี่ปุ่น เกาหลีเหนือ ล่าสุดก็เป็นสงครามระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ และอากาศที่หนาวเย็นของประเทศเกาหลี สามสิ่งนี้เป็นเหตุให้คริสเตียนเกาหลีจะต้องพึ่งพาพระเจ้าอย่างมาก เมื่อไม่มีกินก็ไปอดอาหารอธิษฐาน เมื่ออากาศหนาวนอนไม่ได้เพราะไม่มีอะไรก็ไปอธิษฐาน เมื่อเจอกับสภาพของสงครามก็ไปพึ่งพระเจ้า อธิษฐานกับพระเจ้า" ตั้งแต่สมัยนั้นเป็นต้นมา ก็ทำให้คนเกาหลีติดนิสัยขึ้นไปบนภูเขาอธิษฐาน

สิ่งที่เห็นในประเทศเกาหลีที่โดดเด่นอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ ความเป็นชาตินิยมของคนเกาหลี คนเกาหลีใช้แต่ของที่ผลิดในประเทศของตนเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ ของใช้ต่างๆ ล้วนแต่ผลิตในประเทศเกาหลีเกือบทั้งนั้น ของญี่ปุ่นไม่ต้องพูดถึง เพราะว่าเกาหลีกับญี่ปุ่นไม่ถูกกัน จะหารถญี่ปุ่นในประเทศเกาหลีได้น้อยมาก ผมอยู่ในประเทศเกาหลี 15 วัน เห็นรถโตโยต้าแค่ 2 คันเท่านั้น ภาษาที่ใช้คนเกาหลีก็ใช้ภาษาของตนเอง ไม่ค่อยมีคนพูดภาษาอังกฤษ ป้ายโฆษณาต่างๆ ล้วนเป็นภาษาเกาหลีทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นป้ายบอกทางตามท้องถนน ในรถไฟใต้ดิน รถประจำทาง รวมทั้งร้านค้าต่างๆ เมนูอาหารเป็นต้น คนที่คิดจะเดินทางไปเกาหลีควรจะศึกษาภาษาของเขาไว้บ้างก็ดีครับ

ประเทศเกาหลีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาถึง 70 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ทั้งหมด ดังนั้นบ้านเรือนของคนเกาหลีจะปลูกกันอยู่ตามเนินเขาบ้าง บนเขาบ้าง สูงต่ำต่างกันไป อากาศจึงค่อนข้างหนาวเย็น ในช่วงฤดูหนาวจะมีหิมะตกเสมอ

ผลไม้ของประเทศเกาหลีที่ขึ้นชื่อ ก็จะมีองุ่นดำ ลูกพลับ และช่วงหน้าหนาวก็จะมีสตอร์เบอรีที่อร่อย กรอบหวาน และลูกใหญ่กว่าของบ้านเรามาก

เอาไว้มีเวลาจะมาเล่าประสบการณ์ในเกาหลีให้ฟังใหม่ครับ

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

ผู้นำคริสเตียนเกาหลีส่วนใหญ่