30 เมษายน 2554

การสร้างความประทับใจต่อผู้อื่น

 คุณสมบัติแห่งการเป็นผู้นำ:
ตอนที่ 2

คุณจะสร้างความประทับใจกับผู้อื่นได้อย่างไร “จงให้ความสำคัญกับการทำให้ผู้อื่นรู้สึกดีต่อตัวเขาเอง มากกว่าที่จะให้เขารู้สึกดีต่อตัวคุณ” (แดน ไรแลนด์)
คนส่วนใหญ่คิดว่าการสร้างความประทับใจต่อผู้อื่นเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ และแทบจะหาคำมาอธิบายไม่ได้ คนส่วนใหญ่คิดว่าคุณสมบัติข้อนี้เป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง การสร้างความประทับใจต่อผู้อื่นนั้นสามารถอธิบายง่ายๆ ก็คือ ความสามารถในการดึงดูดผู้คนมาหาคุณนั่นเอง และก็เช่นเดียวกันกับคุณสมบัติข้ออื่นๆ เราสามารถพัฒนาบุคลิกภาพให้เป็นที่น่าประทับใจต่อผู้อื่นได้ อย่างไรก็ตามบทเรียนนี้ไม่ได้เน้นการสร้างภาพ หรือการสร้างบุคลิกภาพแต่เพียงภายนอกอย่างเดียว ซึ่งก็เป็นเรื่องจำเป็นเช่นกัน เพราะเราต้องติดต่อสื่อสารต่อผู้อื่น

ดังนั้นการพัฒนาตัวเราให้มีบุคลิกให้เป็นที่น่าประทับใจต่อผู้อื่น เราต้องฝึกสิ่งต่อไปนี้จนเป็นนิสัยประจำตัวซึ่งต้องออกมาจากภายในอย่างเป็นธรรมชาติของชีวิต เพราะการกระทำภายนอกย่อมสะท้อนสิ่งที่ออกมาจากภายในทั้งสิ้น ดังเช่น พระธรรม มัทธิว 15:18 บอกว่า “แต่สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน” หรือพระธรรม ลูกา 6:43 บอกว่า “ด้วยว่าต้นไม้ดีย่อมไม่เกิดผลเลว หรือต้นไม้เลวย่อมไม่เกิดผลดี”

           คุณสมบัติด้านการสร้างความประทับใจต่อผู้อื่น เป็นคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับผู้นำที่ต้องการประสบความสำเร็จ มี 4 ประการ ดังนี้

1. มีความกระตือรือร้น
            ใครๆ ก็ชื่นชอบผู้นำที่มีความกระตือรือร้นในชีวิต ลองนึกถึงคนที่คุณต้องการจะใช้เวลาด้วยว่าเขาเป็นอย่างไร เป็นคนจู้จี้ขี้บ่น หรือเป็นคนขมขื่นต่อชีวิต หรือเป็นคนหดหู่ ฯลฯ แน่นอน เราคงไม่อยากมีผู้นำที่มีลักษณะดังกล่าว แต่ในทางตรงกันข้ามเราอยากใช้เวลากับคนที่ร่าเริง ไม่จู้จี้ขี้บ่น และมีความกระตือรือร้น หากคุณอยากเป็นคนที่น่าประทับใจต่อผู้อื่น คุณต้องมีลักษณะเช่นเดียวกันกับคนที่คุณอยากใช้เวลาด้วย จอห์น เวสเลย์ นักประกาศผู้ฟื้นฟูประเทศจีนในช่วงศตวรรษที่ 18 ได้กล่าวไว้ว่า “ยามที่คุณเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นราวกับมีไฟเผา ผู้คนก็จะแห่กันมาดูคุณที่ลุกโชติช่วง”
            อาจารย์เปาโลเป็นผู้หนึ่งที่มีความกระตือรือร้นในการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า "ข้าพเจ้าเป็นยิว เกิดในเมืองทาร์ซัสแคว้นซีลีเซีย แต่ได้เติบโตขึ้นในเมืองนี้ และได้เล่าเรียนกับท่านอาจารย์กามาลิเอล ตามธรรมบัญญัติของบรรพบุรุษของเราโดยถี่ถ้วนทุกประการ จึงมีใจร้อนรนในการปรนนิบัติพระเจ้า เหมือนอย่างท่านทั้งหลายทุกวันนี้ (กจ.22:3)

2. เห็นคุณค่าผู้อื่น
ในพระธรรม 1 โครินธ์ 13:7 ได้บอกความจริงเกี่ยวกับความรักเอาไว้ว่า “ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง”
การเห็นคุณค่าผู้อื่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสิ่งหนึ่ง ที่คุณสามารถทำเพื่อผู้อื่นได้ โดยที่คุณไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย หรือคุณไม่ต้องจ่ายราคาอะไร ซึ่งก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการสร้างความประทับใจต่อผู้อื่นเช่นกัน การสร้างความประทับใจก็คือการคาดหวังสิ่งที่ดีที่สุดในตัวเขา เราอาจเรียกวิธีนี้ว่าเป็นการให้คะแนนเต็ม “10” แก่ทุกคน นี่เป็นวิธีที่ช่วยให้ผู้อื่นมองตนเองในแง่ดี และในขณะเดียวกันก็เป็นการช่วยตัวเราเองไปในตัว ตามที่ ฌ้าค วีเซล ได้สรุปผลการวิจัยทัศนะคติเศรษฐีผู้ร่ำรวยพบว่า “จากผลสำรวจทัศนคติเศรษฐีเงินล้านจำนวนหนึ่งร้อยคน ที่สร้างฐานะขึ้นมาด้วยลำแข้งตนเอง พบว่า พวกเขามีสิ่งหนึ่งที่มีความคล้ายกัน นั่นก็คือ ผู้ประสบความสำเร็จอย่างสูงเหล่านี้ มองเห็นแต่ข้อดีในผู้อื่น” หากคุณเห็นถึงคุณค่าของผู้อื่น รู้จักให้กำลังใจเขา และช่วยเขาให้บรรลุถึงศักยภาพของเขาเอง พวกเขาก็จะมีใจเต็มร้อยต่อคุณเช่นกัน

3. เป็นนักให้กำลังใจที่ดี
นโปเลียน โบนาปาร์ต นายพลฝรั่งเศส ให้คำนิยามผู้นำไว้ว่า เป็น “นักค้าความหวัง” เฉกเช่นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ทั้งปวง นโปเลียนรู้ว่า ความหวังคือสมบัติสุดล้ำค่า หากคุณเป็นผู้ที่สามารถมอบของขวัญชิ้นนี้แก่ผู้อื่นได้ ผู้ที่อยู่ภายใต้ก็อยากเข้าใกล้คุณ และจะรู้สึกดีคุณตลอดไป ตัวอย่างผู้รับใช้ที่ได้รับฉายาว่า “นักให้กำลังใจ” คือ บานาบัส (กจ.4:36 …บารนาบัส แปลว่าลูกแห่งการหนุนน้ำใจ…) นอกจากนี้พระวจนะย้ำเสมอให้เราเป็นนักให้กำลังใจผู้อื่นโดยเฉพาะผู้นำ
1เธสะโลนิกา 5:14 และพี่น้องทั้งหลาย เราขอวิงวอนพวกท่านให้ตักเตือนคนที่เกียจคร้าน หนุนน้ำใจผู้ที่ท้อใจ ชูกำลังคนที่อ่อนกำลัง และมีใจอดเอาเบาสู้ต่อคนทั้งปวง

4. เรียนรู้ที่จะแบ่งปันชีวิตต่อกัน
พระธรรม กาลาเทีย 6:2 บอกว่า “จงช่วยรับภาระของกันและกัน ท่านจึงจะได้ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระคริสต์”
การแบ่งปันชีวิตต่อกันและกันค่อนข้างเป็นเรื่องยากสำหรับวัฒนธรรมของคนไทย หรือคนเอเชีย ผู้นำต้องกล้าแบ่งปันชีวิตตนเองหรือวิถีชีวิตของตนเองแก่ผู้อื่น ขณะที่คุณเป็นผู้นำมีบทบาทหน้าที่ เช่น อยู่ในฐานะผู้บังคับบัญชาในหน่วยงานของคุณ หรือ เป็นหัวหน้าครอบครัว ฯลฯ จงรู้จักแบ่งปันชีวิตของคุณเองต่อผู้อื่น เช่น คุณสามารถแบ่งปันความรู้สึกต่อกัน แบ่งปันสติปัญญาความสามารถ แบ่งปันทรัพยากร และแบ่งปันแม้กระทั่งโอกาสพิเศษต่างๆ เช่น วันเกิด วันครบรอบแต่งงาน วันสำคัญต่างๆ ผู้นำที่รู้จักแบ่งปันชีวิตต่อกันและกันเป็นการลดระยะห่างของความรู้สึกของผู้อยู่ภายใต้ได้อย่างดี

การประยุกต์เพื่อนำไปปฏิบัติ :
ในการพัฒนาคุณสมบัติด้านการสร้างความประทับใจต่อผู้อื่น
จงทำสิ่งต่อไปนี้
1. เบนความสนใจของคุณ ลองสังเกตคำสนทนาของคุณ ขณะพูดคุยกัน ลองสังเกตดูว่าคำสนทนาของคุณมุ่งไปที่ตัวคุณมากน้อยแค่ไหน ถ้าการสนทนาของคุณให้ความสนใจไปที่ตัวคุณเป็นส่วนใหญ่ คุณต้องเบนความสนใจที่ตัวของคุณไปยังคนที่คุณสนทนาด้วย เพื่อความเหมาะสมจงหาทางเบนความสนใจไปยังผู้อื่น
2. ฝึกสร้างความประทับใจแรกพบ ลองทำดังนี้ ครั้งใดที่คุณพบใครเป็นครั้งแรก จงพยายามอย่างที่สุดในการสร้างความประทับใจ ฝึกที่จะจำชื่อคนให้แม่น ให้ความสนใจในสิ่งที่เขาสนใจ รวมทั้งมีทัศนคติที่ดี และที่สำคัญที่สุดก็คือ จงปฏิบัติต่อผู้อื่นแบบให้คะแนนเต็ม “10” แก่เขา หากคุณสามารถทำเช่นนี้ได้หนึ่งวัน คุณก็จะสามารถทำเช่นนี้ได้เรื่อยๆ ทุกวัน และนั่นก็จะเป็นการสร้างคุณสมบัติที่สร้างความประทับใจแก่ผู้อื่นอย่างเป็นลักษณะชีวิตของเรา
3. แบ่งปันชีวิตต่อกันและกัน ตั้งเป้าหมายระยะยาวที่คุณจะแบ่งปันชีวิตของคุณแก่ผู้อื่น หาทางที่จะเพิ่มพูนคุณค่าชีวิตให้กับคนใกล้ตัว ซึ่งอาจเป็นสมาชิกในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน พนักงาน หรือเพื่อนฝูง และอย่าลืมแบ่งปันวิถีทางดำเนินชีวิตของคุณเองกับผู้อื่นด้วย

คำถามเพื่ออภิปราย :
คุณจะให้คะแนนตัวเองอย่างไรในเรื่องการสร้างความประทับใจต่อผู้อื่น? คุณดึงดูดใจคนได้โดยง่ายหรือไม่? คุณเป็นที่น่าชื่นชอบหรือไม่? หากคำตอบคือไม่คุณคิดว่าอะไรที่เป็นอุปสรรค? ให้แบ่งปันร่วมกัน

ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ :
ฟิลิปปี 2:15 “เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่ถูกติเตียน และไม่มีความผิด เป็นบุตรที่ปราศจากตำหนิของพระเจ้าในท่ามกลางพงศ์พันธุ์ที่คดโกงและวิปลาส ท่านปรากฏในหมู่พวกเขาดุจดวงสว่างต่างๆ ในโลก”

ที่มา: John C. Maxwell, 21 คุณสมบัติหลักแห่งการเป็นผู้นำ

28 เมษายน 2554

บทบาทในครอบครัว


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน 2011

พระธรรมโคโลสี 3:18-21
พระธรรมตอนนี้ต่อเนื่องมาหลังจากที่เรากลับใจใหม่เชื่อวางใจในพระเจ้าแล้วเราได้รับชีวิตใหม่ ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระเจ้า  เราจะเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะพระฉายหรือพระลักษณะของพระองค์จะปรากฏมากขึ้นในเรา  และเนื่องด้วยเราอยู่ในสังคมของโลกนี้ เราจึงต้องมีบทบาทต่อสังคม  เราจะได้เห็นว่าชีวิตคริสเตียนของเรามีบทบาทในครอบครัวอย่างไรบ้าง
1. บทบาทของภรรยาต่อสามี (คส.3:18)
การยอมนบนอบเชื่อฟัง เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้าสั่งให้ภรรยาฟังสามีของตน เพราะว่าเป็นการสมควร เนื่องจากพระเจ้าได้ตั้งสามีไว้เป็นผู้นำ เป็นผู้มีสิทธิอำนาจเหนือภรรยา แต่ไม่ได้หมายความว่าภรรยาจะต้อยต่ำกว่าสามี สะท้อนของสิทธิอำนาจของพระเยซูคริสต์เหนือคริสตจักร (อฟ.5:24)  เพราะไม่มีอำนาจใดไม่ได้มาจากพระเจ้า (รม.13:1) พระเจ้าเป็นแหล่งแห่งสิทธิอำนาจ  (1ทธ.2:11-15) เอวาทำบาปเพราะไม่อยู่ใต้การปกคลุมของอาดัม (ปฐก.2:15-17) พระเจ้าสร้างอาดัม (ปฐก.2:18) เอวาถูกล่อลวง (ปฐก.3:1, 6)  เรารอดก็รอดโดยพระคุณ (อฟ.2:8) และการอยู่ภายใต้การปกคลุม (1ทธ.2:15)  ภรรยาดีก็ประเสริฐกว่าทับทิม (สภษ.31:10-29) ภรรยาที่ดีจะต้องนบนอบเชื่อฟังสามี (1ปต.3:1)
2. บทบาทของสามีต่อภรรยา (คส.3:19)
สามีจงรักภรรยาของตน การรักภรรยานั้นต้องรักแบบพระคริสต์รักคริสตจักร  เหมือนพระคริสต์สละพระองค์เองเพื่อคริสตจักร (อฟ.5:25) ความรักทำให้ทุกสิ่งสมบูรณ์ (คส.3:14) ให้เกียรติ เห็นคุณค่า (1ปต.3:7) ผู้ชายมักจะไม่รู้จักว่าความรักมันเพียงพอแค่ไหน  เมื่อสามีรักภรรยาของตนแล้วก็จะไม่เกิดปัญหาครอบครัว
3. บทบาทของลูกต่อพ่อแม่ (คส.3:20)
เชื่อฟังพ่อแม่  การเชื่อฟังคือการยอมอยู่ใต้การปกคลุมดูแล อยู่ภายใต้สิทธิอำนาจ (อฟ.6:1) การเชื่อฟังนั้นมีขอบเขตที่ชัดเจน คือเชื่อฟังในองค์พระผู้เป็นเจ้า  เราต้องให้เกียรติพ่อแม่ของเรา (อฟ.6:2) การให้เกียรติจะทำให้เราได้รับพระพร (อฟ.6:3) พระเจ้าสั่งให้เราให้เกียรติ (มธ.15:4, มธ.19:19) การให้เกียรติพ่อแม่สามารถแสดงออก เช่น การเชื่อฟัง การดูแลท่าน
4. บทบาทของพ่อแม่ต่อลูก (คส.3:21)
พ่อแม่อย่ายั่วยุบุตร คืออย่าทำให้ลูกโกรธ เมื่อลูกโกรธลูกก็จะระงับอารมณ์ไม่อยู่ หรือในอีกทำนองหนึ่งก็คือ อย่าใช้สิทธิอำนาจเกินขอบเขต  พ่อแม่บางคนอาจจะรักลูกมาก ก็อยากให้ลูกเป็นอย่างที่ตนต้องการ จึงบังคับลูก ทำให้เกิดการทะเลาะกันในครอบครัว พ่อแม่ต้องอบรมสั่งสอนลูกในทางที่ถูกต้อง  พ่อแม่ต้องมีความเมตตาสงสารลูก (สดด.103:13) อย่ายั่วโทสะลูก (อฟ.6:4)

ดังนั้นถ้าเราต้องการเห็นครอบครัวของเรามีความสุข เราต้องช่วยกันทำตามบทบาทของเราอย่างดี เราต้องเรียนรู้ที่จะแสดงออกถึงความรักที่เรามีต่อกันและกัน เห็นอกเห็นใจกัน นบนอบเชื่อฟังกันและกัน ไม่ใช้อารมณ์ต่อกัน เราต้องจัดเวลาให้กันและกันมากขึ้น และสิ่งเหล่านี้ที่เราได้ทำจะนำคนมาหาพระเจ้าได้อย่างง่ายดาย

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

26 เมษายน 2554

ชีวิตที่ถูกสร้างใหม่

สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน 2011

พระธรรม โคโลสี 3:12-17
พระวจนะตอนนี้บอกให้เรารู้ว่าเราเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเอาไว้ เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็นคนที่พระเจ้าทรงรัก ดังนั้นเราต้องดำเนินชีวิตที่สมกับที่พระเจ้าเลือกเรามา และสมกับที่พระเจ้าทรงไถ่เราด้วยราคาอันแพง เราจึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่แล้ว พระเจ้าเข้ามาในชีวิตของเราอยู่กับเราตลอดเวลา ชีวิตของเรากำลังถูกสร้างขึ้นใหม่ทุกวัน มี 2 สิ่งที่พระเจ้ากำลังสร้างเราขึ้นใหม่
1. จิตใจภายใน (คส.3:12)
จิตใจภายในเป็นสิ่งแรกๆที่พระเจ้าจะสร้างขึ้นในชีวิตของเรา ซึ่งเป็นเสมือนการรื้อฟื้นพระฉายของพระเจ้าในชีวิตของเรา พระคัมภีร์บอกว่า จงสวม หมายถึงหลังจากที่มีการสลัดสิ่งเก่าๆ หรือถอดเสื้อเก่าออกไปแล้ว ก็ต้องสวมเสื้อใหม่เข้าไปแทน พระเจ้าเริ่มต้นสร้างจิตใจภายในของเราดังนี้
1.1 ใจเมตตา (คส.3:12)
พระเจ้าให้เราสวมใจเมตตา เข้าไปแทนที่ใจเดิมของเรา  พระองค์ทรงเปรี่ยมไปด้วยความเมตตาสงสาร (ลก.6:36) (2คร.1:3) (มธ.14:14) ความเมตตาสงสารเป็นพระลักษณะประจำตัวของพระเจ้า  พระเจ้าสอนคนของพระองค์ให้มีใจเมตตาสงสาร (ฉธบ.14:28-29)
1.2 ใจปรานี (คส.3:12)
ใจปรานี ที่ส่งผลเป็นการกระทำออกมาภายนอก มีน้ำใจต่อกัน เป็นหนึ่งในผลพระวิญญาณ (กท.5:22)  เป็นใจเอ็นดู (อฟ.4:32)  จิตใจภายในที่จะต้องถูกสร้างขึ้นใหม่ให้เป็นเหมือนพระเจ้ามากขึ้น มีพระฉายของพระเจ้าวันต่อวัน
1.3 ใจถ่อม (คส.3:12)
คำว่าใจถ่อม หมายถึง ใจที่เหมือนกับทาส ใจที่ถ่อมลงจนสุดแล้ว ยอมสละพระองค์เองเพื่อคนบาปอย่างเรา (ฟป.2:7-8) พระเจ้าจะทรงยกชูคนที่ใจถ่อม  (สภษ.18:12) คนที่มีใจถ่อมจะมีความสงบสุข  และจะขอบคุณพระเจ้าเสมอ
1.4 ใจอ่อนสุภาพ (คส.3:12)
ใจอ่อนสุภาพไม่ใช่ใจที่อ่อนแอ ไม่มีความแข็งแกร่ง  เป็นใจที่มีความแข็งแกร่งอยู่ภายใน  พระเยซูต้องการให้เราเรียนรู้ความอ่อนสุภาพจากพระองค์ (มธ.11:29) คนที่ใกล้ชิดพระเจ้าจะเป็นคนที่มีใจอ่อนสุภาพ ทั้งคำพูด 
1.5 ใจอดทนนาน (คส.3:12)
ใจอดทนนาน ในที่นี้หมายถึงใจที่มีความอดทนด้วยความชื่นชมยินดี  แต่เราก็ไม่ควรประมาทในความอดทนของพระเจ้า (รม.2:4) ให้เราอดทนจนกว่าพระองค์จะเสด็จมา หรือจนกว่าพระองค์จะเสร็จกิจในชีวิตของเรา (ยก.5:7)  เราต้องเรียนรู้ที่จะอดทนนานด้วยความชื่นชมยินดี

2. การกระทำภายนอก
การกระทำภายนอกที่พระเจ้ากำลังสร้างเราเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในชีวิตของเรา มี 5 สิ่งจากพระธรรมตอนนี้
2.1 การยกโทษให้อภัย (คส.3:13)
การยกโทษให้อภัย หมายถึง การไม่จดจำความผิด เราก็ต้องยกโทษให้คนอื่นด้วย (มธ.6:12) พระเจ้าก็ยกโทษให้กับเราด้วย (มธ.6:14) ความผิดที่เราไม่ยกโทษให้คนอื่นรุนแรงกว่าความผิดที่เราทำต่อผู้ 
2.2 แสดงออกซึ่งความรัก (คส.3:14)
ความรักในที่นี้เป็นความรักที่ไม่หวังผลตอบแทน  เป็นความรักที่กระทำคุณให้ (1คร.13:4-8) เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ (1คร.13:13)  เป็นความรักที่พร้อมจะเสียสละเสมอ
2.3 อยู่อย่างสงบสุข (คส.3:15)
แม้ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะเป็นอย่างไร หัวใจไม่หวั่นไหว ไม่แสดงอาการของความหวาดวิตกหรือความกังวลใดๆ  (อฟ.2:14) (อฟ.2:17) ความสงบเป็นสัญลักษณ์ของการเติบโตในพระเจ้า เราต้องพึ่งพาในพระเจ้าให้มากขึ้นและรับการสร้างชีวิตโดยพระเจ้าทุกวัน
2.4 ทำตามพระวจนะ (คส.3:16)
พระวจนะเป็นไม้วัด  พระเยซูเตือนเราให้ระวังให้ดีว่าในยุคสุดท้ายจะมีคนแอบอ้างว่าเป็นพระเยซู ถ้าเราไม่รู้พระวจนะของพระเจ้าเราก็จะถูกหลอกเอาได้ (มธ.24:3-8)  เราต้องมีวิสัยทัศน์แบบพระวจนะของพระเจ้า (สดด.119:105)  ให้เราทำตามพระคัมภีร์ทุกข้อทุกตอน
2.5 ถวายเกียรติแด่พระเจ้า (คส.3:17)
เราทำทุกอย่างในฐานะที่เราเป็นตัวแทนของพระเจ้า ดังนั้นเราต้องทำเพื่อให้พระเจ้าได้รับเกียรติสูงสุดในชีวิตของเรา จงทำให้เป็นที่ถวายเกียรจิแด่พระเจ้า (รม.14:6-8
เราต้องสำรวจตรวจสอบการกระทำของเราแต่ละวันว่า พระได้รับเกียรติหรือเปล่า มีสิ่งใดที่เราทำให้พระเจ้าเสียเกียรติบ้าง เราต้องปรับปรุงตัวเองอย่างไรบ้างเพื่อให้พระเจ้าได้รับเกียรติ

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

พระคุณซ้อนพระคุณ

สวัสดีครับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่่ติดตามข่าวสารด้วยดีเสมอมา
ผมต้องขออภันที่ไม่ได้อัพเดทข้อมูลข่าวสารต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ได้สรุปคำเทศนามาลงในบล็อกนี้หลายสัปดาห์แล้ว วันนี้ผมจะมาแบ่งปันเรื่องที่ผมได้ยินมาให้อ่านกันครับ


                เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้ฟังคำพยานของพี่น้องสตรีท่านหนึ่งได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอที่ประเทศออสเตเลีย เป็นเรื่องที่ตื่นเต้นและน่าตกใจ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2009 ที่ผ่านมา ผมขอแบ่งปันให้อ่านกันบางช่วงบางตอนครับ (สามารถที่ฟังคำพยานของเธอได้ที่ www.churchofpeace2010.org)


                พี่น้องสุภาพสตรีท่านนี้เรียกตัวเองว่า "น้องแม้ม" เป็นลูกสาวของพี่นิด เป็นพี่น้องคริสเตียนของเรา พี่นิดเป็นคนที่รักพระเจ้า แต่น้องแม้มไม่ได้เชื่อพระเจ้า พี่นิดก็ได้เเต่เฝ้าอธิษฐานเผื่อลูกสาวอยู่เสมอ พี่นิดเดินทางไปตั้งรกรากอยู่ที่ประเทศนอร์เวย์ ส่วนน้องแม้มอยู่ที่ประเทศไทย
            
                อยู่มาวันหนึ่งน้องแม้มตัดสินใจขายรถยนต์ส่วนตัวของเธอและรวบรวมเงินทั้งหมดที่มีไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตเลีย การดำเนินการทุกอย่างราบรื่น ไม่มีอุปสรรคปัญหาใดๆ ที่จะมาขัดขวางจนทำให้ความตั้งใจที่จะเดินทางไปเรียนต่อของเธอต้องมีอันเป็นไป เอกสารทุกอย่างผ่าน วีซ่าก็ผ่าน ตัวเธอเองก็พร้อมที่จะเดินทางไปเรียนต่อตามความฝันของเธอ


               การเดินทางของเธอราบรื่น ทั้งระหว่างการเดินทางและการตรวจลงตราเข้าเมื่อง น้องแม้มก็ได้เรียนตามที่ตั้งใจไว้ และแล้วชีวิตในประเทศออสเตเลียของเธอก็ไม่ง่ายหรือว่าสะดวกสบายเหมือนตอนอยู่ที่เมืองไทย  เธอต้องต่อสู้กับหลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะกับตัวเธอเอง เธอต้องปรับตัวอย่างมากให้เข้ากับสถานที่ใหม่ สภาพเเวดล้อมใหม่ เพื่อนใหม่ วัฒนธรรมใหม่ การเรียนก็หนัก การบ้านก็มาก ญาติพี่น้องก็ไม่มี เธอเหมือนอยู่คนเดียวจริงๆ เวลาผ่านไปไม่นาน เธอเริ่มเกิดความท้อใจ และตัดสินใจว่าเลิกเรียนดีกว่า


               เธอจึงตัดสินใจกลับประเทศไทยเพื่อจะกลับมาตั้งหลักก่อนว่าต่อไปเราจะทำอย่างไรดี ขณะที่เธอเรียนอยู่ที่ประเทศออสเตเลียนั้น เธอได้รู้จักกับเพื่อนนักศึกษาหญิงคนหนึ่ง (ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ) เป็นคนอินเดีย (ซึ่งเธอบอกว่าครอบครัวของเธอชอบคนอินเดีย ผมสังเกตดูหน้าตาของเธอก็คล้ายคนอินเดียเหมือนกันนะ) ได้ติดต่อกับเธอบอกว่าให้ไปเที่ยวที่ประเทศอินเดียสิ เพื่อเป็นการพักผ่อน เธอบอกว่าน้องแม้มว่าจะพาเที่ยวและจะดูแลเธอเอง ด้วยพิ้นฐานที่ชอบคนอินเดียอยู่แล้วเธอจึงตัดสินใจเดินทางไปเที่ยวประเทศอินเดียตามคำชวนของเพื่อน


              ขณะที่กำลังท่องเที่ยวอยู่กับเพื่อนของเธอที่ประเทศอินเดีย น้องแม้มก็ตัดสินใจว่า เพื่ออนาคตที่ดีของเธอเอง เธอจะกลับไปเรียนต่อที่ออสเตเลียให้จบตามที่เธอฝันไว้ และเพื่อทำให้คุณแม่ชื่นใจและภาคภูมิใจในตัวเธอ เพื่อนชาวอินเดียของน้องแม้มจึงพูดกับเธอว่า จะกลับไปเรียนต่อที่ออสเตเลียหรือ ดีจังเลยเพราะอยากจะฝากผ้าสาหลีไปให้เพื่อนที่อยู่ที่นั่นจะได้หรือเปล่า น้องแม้มก็บอกว่าได้ไม่มีปัญหา เพราะว่าขณะที่อยู่ที่อินเดีย เพื่อนชาวอินเดียของน้องแม้มคนนี้ดูแลเป็นอย่างดี เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจเพื่อน เพื่อนชาวอินเดียก็บอกว่าเมื่อไปถึงแล้วเพื่อนของเธอจะมารับของฝากที่สนามบินเลยน้องแม้มจะได้ไม่ต้องลำบาก เมื่อน้องแม้มได้รับกระเป๋าที่บรรจุผ้าสาหลีที่เป็นของฝาก เธอก็เปิดกระเป๋าดูก็พบว่าภายในกระเป็นมีผ้าสาหลีอยู่ประมาณ 9 ผืน เธอก็เอากระเป๋าของฝากนั้นเดินทางไปออสเตเลียด้วยเพื่อจะนำไปให้กับเพื่อนของเพื่อนชาวอินเดียอีกทีหนึ่ง


               เมื่อน้องแม้มเดินทางมาถึงประเทศออสเตเลียด้วยความราบรื่น เมื่อมาถึงสนามบินน้องแม้มก็แจ้งสำแดงสิ่งของต่างๆ ที่เธอนำติดตัวมาด้วยทั้งหมดในเอกสารการเดินทางเข้าประเทศเหมือนครั้งที่ผ่านมา เธอคิดว่าเราเอาอะไรมาก็บอกให้หมดจะได้ไม่มีปัญหามานั่งสอบถามว่าในกระเป๋ามีอะไรบ้าง หรือว่า เอาอะไรที่เป็นของห้ามนำเข้ามาด้วยหรือเปล่า (คนที่เดินทางต่างประเทศมักจะถูกถามอย่างนี้เสมอ โดยเฉพาะประเทศออสเตเลียจะถูกตรวจสอบมากเป็นพิเศษ)


               การตรวจเอกสารลงตราครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งที่แล้ว ใช้เวลานานกว่าครั้งที่แล้วมาก และในที่สุดน้องแม้มก็ถูกเชิญให้เข้าไปในห้องๆ หนึ่ง ในห้องนั้นมีเจ้าหน้าที่รออยู่และได้สอบถามน้องแม้ม หลายคำถาม เช่น ถามว่ามาที่ประเทศออสเตเลียทำไม มาจากประเทศอะไร เอาอะไรมาบ้าง เอาของผิดกฎหมายมาด้วยหรือเปล่า น้องแม้มก็ตอบไปตามความเป็นจริงทุกอย่าง เธอก็บอกว่าเธอไม่ได้เอาอะไรที่ผิดกฎหมายเข้ามาในประเทศนี้ ทางเจ้าหน้าที่ก็ถามน้องแม้มอีกครั้งว่า เอายาเสพติเข้ามาด้วยหรือเปล่า เธอก็ตอบว่า ไม่ได้เอาอะไรพวกนั้นมาเลย หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า คุณนำ "เฮโรอีน" ซึ่งเป็นยาเสพติดเข้ามาในประเทศ เธอก็ตอบยืนยันอย่างหนักแน่นอีกครั้ง ว่าเธอไม่ได้เอาอะไรพวกนั้นเข้ามา


              ในวินาทีนั้นเอง เธอทำอะไรไม่ถูก มันมืดไปแปดด้าน มันสับสนไปหมด เธอก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้กับเจ้าหน้าที่ฟังว่า กระเป๋าของฝากซึ่งภายในบรรจุผ้าสาหลีที่เธอถือเข้ามานั้น มีที่มาและที่ไปอย่างไร แต่เธอก็ไม่สามารถจะตอบได้ว่าใครจะเป็นคนมารับกระเป๋า (ซึ่งภายในซุกซ่อนเฮโรอีนหนัก 1500 กรัม) ก็ยิ่งทำให้เจ้าหน้าที่ปักใจเชื่อว่า น้องแม้มเป็นผู้นำเฮโรอีนเข้าประเทศมาอย่างแน่นอน เพราะว่าไม่สามารถบอกได้ว่าใครจะมารับกระเป๋าใส่ผ้าสาหลีใบนั้น


               พระเจ้าผู้ไม่เคยทอดทิ้ง ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังสอบถามเธออยู่นั้นก็มีเสียโทรศัพท์ดังขึ้นที่โทรศัพท์มือถือของเธอ เจ้าหน้าที่ก็ให้เธอรับโทรศัพท์ (และทำการบันทึกเสียงการสนทนาระหว่างเธอกับเพื่อนของเธอเอาไว้ด้วย) เมื่อน้องแม้มรับโทรศัพท์ก็ปรากฎว่าเป็นเพื่อนชาวอินเดีย (ต้องเรียกว่าเพื่อนตัวแสบ) ของเธอเป็นคนโทรเข้ามาหา เพื่อสอบถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง น้องแม้มก็เลยถามด้วยความโมโห้ว่า ถามจริงๆ เถอะในกระเป๋ามีอะไรบ้าง ทำไมไม่มีใครมารับกระเป๋า เสียเวลารออยู่นานมากแล้ว เพื่อนสาวของเธอก็ตอบว่าไม่มีอะไร นอกจากผ้าสาหลีที่เธอเห็นนั่นแหละ แต่ที่เพื่อนยังไม่มารับกระเป๋าก็เพราะว่าเพื่อนของเธอติดธุระไม่สามารถมารับได้ และเพื่อนชาวอินเดียก็ขอร้องให้น้องแม้มเอากระเป๋าไปส่งให้กับเพื่อนของเธอที่โรงแรมภายหลัง ขอให้เธอเก็บกระเป๋านั้นเอาไว้ก่อน


               หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่เริ่มสัมผัสได้ว่าน้องแม้มไม่รู้เห็น หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการขนเฮโรอีน เจ้าหน้าที่จึงได้พูดกับน้องแม้มว่า แต่เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า น้องแม้มไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเฮโรอีนนี้ เธอจะร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เพื่อจับกุมคนที่จะมารับกระเป๋านี้หรือเปล่า น้องแม้มก็รีบตอบรับทันทีว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ยินดีที่จะร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ทุกอย่าง เพราะว่าไม่ได้รู้เห็นเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เลย


               แต่กว่าจะจับคนมารับกระเป๋าได้ ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและน้องแม้มก็ใช้เวลาอยู่หลายสัปดาห์กว่าจะจับตัวได้ อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าตำรวจก็ยังต้องคุมตัวน้องแม้มเอาไว้ เพื่อทำการสอบสวนขยายผลต่อไป น้องแม้มต้องเข้าไปอยู่ในคุกเป็นเวลา 8 เดือน


               ขณะที่อยู่ในคุกเธอได้แจ้งข่าวนี้ให้กับคุณแม่ของเธอ คุณแม่ของเธอได้แจ้งข่าวนี้ให้กับพี่น้องคริสเตียนอธิษฐานวิงวอนกับพระเจ้าขอให้ช่วยน้องแม้มด้วย ช่วงเวลาที่น้องแม้มเข้าไปอยู่ในเรือนจำใหม่ๆ นั้นน้องเธอเล่าว่า กินไม่ได้ นอนไม่หลับ มีแต่ความเครียด ความวิตกกังวล น้ำหนักเริ่มลดลงๆ


               อยู่มาวันหนึ่งมีมิชันนารีเข้าไปประกาศในคุกที่เธอถูกควบคุมตัวอยู่ มิชันนารีได้เป็นพยานให้กับเธอ เธอได้สัมผัสถึงความรัก ความอบอุ่นที่พระเจ้าทรงมอบให้กับเธอ เธอเริ่มอ่านพระคัมภีร์ จากเริ่มแรกอ่านไม่รู้เรื่อง ยิ่งอ่านมากเท่าไหร่ก็เริ่มรู้สึกว่าสนุก และท้ายอย่างมาก สันติสุขก็เริ่มเข้ามาครอบครองจิตใจของเธอ เธอจึงตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ในวันนั้น


               ขณะเดียวกันที่พวกเราอธิษฐานเผื่อน้องแม้ม มิชันนารีได้ส่งเมล์ไปให้กับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ตามสายสัมพันธ์ที่อยู่ทั่วโลกให้อธิษฐานเผื่อน้องแม้มด้วย


               ในที่สุดพระคุณและความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าก็มาถึงชีวิตของน้องแม้มอีกครั้งหนึ่ง เมื่ออัยการ ได้พิจารณาตัดสินให้กันน้องแม้มออกมาเป็นพยาน และได้ปล่อยตัวน้องแม้มออกจากคุกเมื่อประมาณเดือนเมษายน 2010 นับเป็นเวลา 1 ปีพอดีที่น้องแม้มได้รับอิสระภาพ ตลอดช่วงเวลา 1 ปี ที่ผ่านมาน้องแม้มกับคุณแม่เดินสายเป็นพยานขอบคุณพระเจ้าสำหรับความยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงกระทำในชีวิตของเธอ


               คุณแม้มของน้องแม้มพูกกับผมฟังว่า "คุ้มจริงๆ" สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับน้องแม้มในครั้งนี้ เพราะว่าทำให้ลูกสาวอันเป็นที่รักยิ่งได้มารู้จักพระเจ้าและถวายตัวให้กับพระเจ้า


               วันนี้ที่ผมกำลังเขียนเรื่องของน้องแม้มอยู่นั้น เธอกำลังเดินทางกับไปที่ประเทศออสเตเลีย เพื่อขึ้นเป็นพยานให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อยืนยันว่า ผู้ต้องหาที่ถูกจับได้นั้น เป็นคนมารับกระเป๋าที่มีเฮโรอีนซุกซ่อนอยู่เพื่อเป็นพยานบุคคลมัดผู้ต้องหาไม่ให้ดิ้นหลุดไปได้


               ผมอยากฝากให้พี่น้องอธิษฐานเผื่อน้องแม้ม ขอให้พระเจ้าปกป้องเธอไว้ให้ปลอดภัยจากทุกสิ่งทุกอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขอพระเจ้าช่วยให้เธอรอดพ้นจากการคุกคามของแก๊งค์ค้ายาเสพติดด้วย เพื่อเธอจะสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ และสามารถกลับไปทำความฝั่นของเธอให้สำเร็จ


               จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับน้องแม้ม สาวน้อยผู้ตั้งใจดีคนนี้ ผมอยากจะเตือนสติ (ความจริงอยากจะใช้คำว่า "สั่ง" ด้วยซ้ำไป แต่เกรงใจ) เวลาไปไหนมาไหน ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปต่างประเทศ หรือว่าในประเทศ หรือตามสถานที่ต่างๆ ถ้ามีคนที่เราไม่รู้จักมาบอกให้เราช่วยถือกระเป๋า หรือว่าช่วยถือของให้หน่อย อย่าได้ช่วยเป็นอันขาด ถ้าหากต้องการช่วยให้ช่วยไปแจ้งให้กับเจ้าหน้าที่ประจำสนามบินให้ไปช่วยแทน หรืออาจจะมีคนที่ดูหวังดีกับเราอย่างมาก จะมาช่วยถือของให้กับเรา ก็อย่าให้เขาช่วยถืออย่างเด็ดขาด เพราะเราอาจจะกลายเป็นเหยื่อโดยที่ไม่รู้ตัว

08 เมษายน 2554

ชีวิตใหม่ในพระเจ้า


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2011

พระธรรมโคโลสี 3:5-11

                 คำเทศนาตอนนี้ต่อเนื่องมาจากตอนที่ผ่านมา คือการทิ้งชีวิตเก่าที่พระเจ้าไม่พอพระทัย เราได้เห็นไปแล้วกับ 3 สิ่งที่พระเจ้าไม่พอพระทัย นั่นคือ การกระทำที่ไม่ถูกต้อง เช่น การล่วงประเวณี การโสโครก และการนับถือรูปเคารพ ความคิดที่ไม่ถูกต้องก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง เช่น ความปรารถนาชั่ว ราคะตัณหา ความโลภ ความโกรธ การขัดเคืองใจ และการคิดปองร้าย และคำพูดที่ไม่ดี เช่น การพูดให้ร้าย การพูดหยาบคาย และการพูดโกหก เป็นต้น เมื่อเราทิ้งชีวิตเก่าแล้ว ครั้งนี้เป็นการรับชีวิตใหม่จากพระเจ้าเข้ามาแทน เราจะได้เห็นวิธีการรับชีวิตใหม่และผลที่จะเกิดขึ้นเมื่อเรารับชีวิตใหม่แล้ว

1. วิธีการรับชีวิตใหม่ (คส.3:5-10)
วิธีการรับชีวิตใหม่ สามารถรับได้ดังนี้

1.1 ทำลายนิสัยเก่าของโลก (คส.3:5)
การทำลายนิสัยเก่าของโลก เป็นการปิดโอกาส หรือทำลายโอกาส ไม่ให้เราตกไปสู่ความบาปอีกต่อไป เปรียบเสมือนเป็นการปิดประตูบ้าน ไม่ให้ขโมยเข้ามาในบ้านได้ นิสัยของโลกที่เราจะต้องทำลายทิ้งไม่ว่าจะเป็นเรื่องการล่วงประเวณี การโสโครก ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว ความโลภ ซึ่งถือเป็นเหมือนการไหว้รูปเคารพ ซึ่งจะนำไปสู่การพิพากษาของพระเจ้า เราได้ถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว (รม.6:6)

1.2 เปลื้องชีวิตเก่าทิ้ง (คส.3:5)
การเปลื้องชีวิตเก่าทิ้ง เปรียบเสมือนการถอดเสื้อเก่าออกไปซักหรือถอดออกทิ้งถ้าหากมันสกปกมากจนซักไม่ได้ เป็นการกลับใจใหม่ หันหลังให้กับสิ่งไม่ดีทั้งหลายทั้งปวงที่ผ่านมา อ.เปาโล บอกให้เราทิ้งตัวเก่า (อฟ.4:22) สลัดบาปที่เกาะแน่นออกไป (ฮบ.12:1

1.3 ทิ้งนิสัยเก่า (คส.3:9)
เป็นภาพของการปลดปล่อยจากพันธนาการ หรือการปลดปล่อยจากสิ่งที่ผูกมัดเราเอาไว้ในส่วนลึก ไม่ใช่แค่ผิวเผินแต่ภายนอก แต่เป็นที่ส่วนที่ลึกลงไป เราต้องสำรวจดูว่าสิ่งที่อยู่ลึกๆในจิตใจของเราที่มันถ่วงเราไว้มันคืออะไร เราต้องยอมให้พระเจ้าเข้ามาชำระเรา (วว.1:5) เราต้องรับการเปลี่ยนแปลงใหม่

1.4 สวมวิสัยมนุษย์ใหม่ (คส.3:10)
การสวมชีวิตใหม่เป็นเหมือนการสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ หลังจากที่เราถอดเสื้อเก่าออกแล้ว เราก็ต้องสวมเสื้อผ้าใหม่เข้าไปแทน แต่เป็นเสื้อผ้าที่พระเจ้าได้จัดเตรียมให้กับเรา เลิกความโสมมทั้งหลาย (ยก.1:21) เราจะได้รับจิตวิญญาณใหม่ โดยมีแม่แบบคือพระเจ้า (อฟ.4:42)

2. ผลจาการรับชีวิตใหม่ (คส.3:11)
เมื่อเรารับชีวิตใหม่แล้ว ภายในของเราก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายนอกอย่างชัดเจน

2.1 เกิดความเป็นเอกภาพ (คส.3:11)
เกิดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียววัน ไม่มีการแบ่งแยก หรือแตกกกแตกเหล่า ไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะ หรือสีผิว เพราะเราต่างก็เป็นชนชาติของพระเจ้า เป็นเหมือนคนๆเดียวกัน (กจ.4:32) ทุกคนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (2คร.13:11) พระวิญญาณทำให้เราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (อฟ.4:3) ข่าวประเสริฐของพระเจ้าทำให้เราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (ฟป.1:27)

2.2 พระคริสต์อยู่ในชีวิตของเรา (คส.3:11)
             เมื่อเราทิ้งตัวเก่าแล้วและรับชีวิตใหม่จากพระเจ้าแล้ว พระคริสต์ก็จะเข้ามาในชีวิตของเรา เราจะเปลี่ยนแปลงไปและเป็นเหมือนพระเจ้ามากขึ้นทุกวัน เพราะพระเจ้าอยู่ในเรา (ยน.14:19-20) เราจะเกิดผล (ยน.15:4) เราจะทำตามพระวจนะของพระเจ้า (1ยน.3:24) พระวิญญาณอยู่ในเรา (ยน.7:39) (กจ.10:45) (กจ.15:8) (2คร.1:22) 

นี่คือผลที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของเราเมื่อเรากลับใจใหม่และเชิญพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตของเรา เราจะไม่เหมือนเดิม เราจะได้รับการเปลี่ยนแปลง เราจะมีสันติสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ขอพระเจ้าอวยพรครับ


01 เมษายน 2554

ทิ้งชีวิตเก่ารับชีวิตใหม่ ตอนที่1 ชีวิตเก่าที่พระเจ้าไม่พอพระทัย

สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม 2011

พระธรรม โคโลสี 3:5-11

อ.เปาโล ได้บอกให้เรารู้ว่าเมื่อเราได้กลับใจเชื่อว่างใจในพระเจ้าแล้ว เราได้รับชีวิตใหม่แล้วโดยทางความเชื่อในพระเยซูนั้น ในตอนนี้ อ.เปาโลได้บอกว่าเมื่อก่อนเราเคยอยู่ในโลกียวิสัย คืออยู่ในโลกของกามมารมณ์ หรืออยู่ในฝ่ายของเนื้อหนัง อ.เปาโลใช้คำว่าเมื่อก่อนเราเคย นั่นแสดงว่าปัจจุบันเราออกมาแล้วจากจุดนั้น  ถ้าหากเราไม่ต้องการที่จะถูกลงพระอาชญา เราต้องทิ้งชีวิตเก่า จากพระธรรมตอนนี้ เราต้องทิ้งชีวิตเก่า 3 สิ่งที่พระเจ้าไม่พอพระทัย คือ
1. การกระทำ (คส.3:5) 
การกระทำอะไรบ้างที่พระเจ้าไม่พอพระทัย มี 3 สิ่งคือ
1.1 การล่วงประเวณี (คส.3:5)
การล่วงประเวณี เป็นความบาปที่มีน้ำหนักเท่ากับ หรือมากกว่าการไหว้รูปเคารพ ซึ่งพระเจ้าจะไม่พอพระทัยอย่างมาก (อพย.20:4-5) อ.เปาโล สั่งว่าอย่าให้คบหา (1คร.5:11) พระเจ้าได้ตั้งกฎเกณฑ์ให้กับประชากรของพระองค์เกี่ยวกับการล่วงประเวณีว่า ถ้าผู้ใดล่วงประเวณีก็ให้เอาหินขว้างให้ตาย (ลวน.20:10-16) แสดงให้เราเห็นว่า การล่วงประเวณีเป็นบาปที่มีความรุ่นแรงอย่างมาก การล่วงประเวณีคือการมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคนอื่นที่ไม่ใช่สามีหรือภรรยาของตนเอง เราต้องห่างไกลจากความบาปนี้
1.2 การโสโครก (คส.3:5)
การโสโครก หมายถึงการทำสิ่งที่สกปรกโสมม น่าสะอิดสะเอียน เป็นความประพฤติที่ผิดปกติธรรมชาติ รวมทั้งการมีความสัมพันธ์ที่ผิดธรรมชาติ (รม.1:26) การโสโครกเปรียบเสมือนการมีผีเข้าสิง ทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยความสกปรกโสมม สิ่งที่กระทำออกมาก็เต็มไปด้วยความแปดเปื้อน ไม่ว่าทำสิ่งใดๆก็มีความสกปรกโสมม เช่น การกระทำความผิดบาปทางเพศที่ผิดไปจากธรรมชาติ เช่นการมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน ชายกับชาย หญิงกับหญิง หรือมีเพศสัมพันธ์กับสัตว์ อีกทั้งการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง
1.3 การนับถือรูปเคารพ (คส.3;5)
การนับถือรูปเคารพ หมายถึงการให้สิ่งต่างๆมีความสำคัญเท่ากับหรือมากกว่าพระเจ้า รวมทั้งการกราบไหว้สิ่งต่างๆที่ไม่ใช่คนด้วย เช่นการกราบไหว้ต้นไม้ การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เป็นสิ่งที่พระเจ้าไม่พอพระทัย เพราะว่าคนเหล่านี้ที่นับถือรูปเคารพจะไม่มีสิทธิ์ในแผ่นดินของพระเจ้า (อฟ.5:5) พระเจ้าสั่งไม่ให้ผู้เชื่อทำสิ่งใดๆเป็นรูปเคารพสำหรับตน (อพย.20:23) พระองค์พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ เป็นที่น่าเกรงขาม (วว.9:20) เราต้องยำเกรงพระเจ้า 
นี่คือการการทำ 3 สิ่ง ที่พระเจ้าไม่พอพระทัย เราต้องห่างไกล เพื่อเราจะได้ไม่ต้องถูกพระอาชญาของพระเจ้า
2. ความคิด (คส.3:5)
ความคิดที่ไม่ถูกต้องหรือความคิดที่ไม่ดี เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พระเจ้าไม่ เราต้องทำลายออกไปจากชีวิตของเรา เพราะว่าความคิดเป็นตัวกำหนดการกระทำของเรา ถ้าเราคิดผิดผลปลายก็ผิดด้วย ความคิดอย่างไรที่พระเจ้าไม่พอพระทัย มี สิ่งด้วยกัน
2.1 ความปรารถนาชั่ว (คส.3:5)
ความปรารถนาชั่ว เป็นความคิดที่อยู่ภายใน เป็นความปรารถนาในสิ่งที่ผิด เป็นความปรารถนาชั่วทั่วๆไป ไม่จำกัดว่าเรื่องใด เป็นความคิดที่ส่งผลให้เกิดผลเสียต่อตัวเองในที่สุด (1ทธ.6:9) ความปรารถนาชั่ว หรือความคิดที่นำไปสู่ความพินาศ 
2.2 ราคะตัณหา (คส.3:5)
ราคะตัณหาเป็นความคิดหรือความปรารถนาที่เกินขอบเขต หรือเกินว่าจะควบคุมได้ หรือไม่สามารถควบคุมโดยเฉพาะความต้องการทางเพศ อ.เปาโลได้เตือนทิโมธีให้ระมัดระวัง (2ทธ.2:22) โดยให้ใฝ่ใจในทางธรรม  เราต้องระมัดระวัง โดยการพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ (รม.1:4)  ถ้าเราต้องการให้สังคมของเราดี เราต้องนำการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมโดยการประกาศพาคนมารู้จักพระเจ้าให้เค้าได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิต
2.3 ความโลภ (คส.3:5)
ความโลภเป็นความคิดที่อยากจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ มีแล้วต้องการมีอีก หรือมีความอยากไม่สิ้นสุด ไม่มีขอบเขตจำกัด โดยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง จนกลายเป็นความบาป (สภษ.21:26) คนโลภอย่างไรก็ยังโลภอยู่  ความโลภเป็นต้นเหตุของสงคราม (ยก.4:1-2) ความอยาก ความต้องการที่อยู่ภายใน ในที่สุดความโลภก็นำไปสู่ความตาย
2.4 ความโกรธ (คส.3:8)
ความโกรธ เป็นความโมโหที่อยู่ภายในที่มีความรุนแรง และมักจะตามมาด้วยการแสดงออกอย่างรุนแรง ความโกรธในพระคัมภีร์มี 2 แบบ คือ ความโกรธที่ชอบธรรม และความโกรธที่ไม่ชอบธรรมหรือความโกรธที่เป็นบาป พระเจ้าก็เมตตาเรา ให้เราเลิกโกรธก่อนตะวันตกดิน (อฟ.4:26) พระเจ้าต้องการให้เราช้าในการโกรธ (ยก.1:19-20) เราต้องควบคุมตัวเอง
2.5 ความขัดเคืองใจ (คส.3:8)
ความขัดเคืองใจ เป็นอาการของความไม่พอใจที่อยู่ภายใน มักจะมีอาการหงุดหงิด กระฟัดกระเฟียด อาการแบบนี้เป็นอาการของคนที่ยังไม่กลับใจใหม่ (1คร.3:3) คนที่เชื่อพระเจ้าและมีผลพระวิญญาณจะสามารถควบคุมได้
2.6 การคิดปองร้าย (คส.3:8)
การคิดปองร้ายเป็นท่าทีในใจที่ไม่ดี หมายถึง วิญญาณที่มุ่งร้ายต่อผู้อื่น มีใจอาฆาตผู้อื่น การให้ร้ายคนอื่น เป็นผลมาจากการมีความคิดที่ต้องการปองร้ายคนอื่น พระเยซูเปลี่ยนชีวิตเราแล้วโดยการให้อภัย โดยการรักคนอื่นเหมือนที่พระเจ้ารักเรา ให้เราอภัยเหมือนที่พระเจ้าให้อภัยเรา
3. การพูด (คส.3:8-9)
การพูดเป็นเหมือนดาบ คม ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์หรือก่อให้เกิดโทษก็ได้ บางครั้งคำพูดหรือการพูดของเราทำร้ายคนอื่นก็ได้ เราจะมาดูว่าการพูดอย่างไรที่พระเจ้าไม่พอพระทัย
3.1 การพูดให้ร้าย (คส.3:8)
การพูดให้ร้ายคือการพูดถึงคนอื่นในทางที่ไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดการเข้าใจผิด หรือทำให้คนอื่นถูกลงโทษ หรือทำให้เกิดความบาดเจ็บ การพูดให้ร้ายรวมถึงการพูดเสียดสีด้วย (อฟ.4:31) เมื่อเรากล่าวโทษเขาอย่างไร พระเจ้าก็จะกล่าวโทษท่านอย่างนั้น (มธ.7:2) เมื่อเราให้เขาอย่างไร พระเจ้าก็จะให้กับเราอย่างนั้น (ลก.6:38)
3.2 การพูดคำหยาบ (คส.3:8)
การพูดคำหยาบ หรือการพูดหยาบโลน เป็นการพูดที่ไม่สุภาพ ไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า การพูดหยาบโลน รวมถึงการพูด 2 แง่ 2 มุม  พระเจ้าจึงห้ามคนของพระเจ้าไม่ให้เราพูดหยาบคาย (อฟ.5:4) พระเจ้าให้เราขอบคุณพระเจ้าแทนการพูดจาหยาบคาย (1ธส.5:18) จงให้คำหยาบคายห่างไกลไปจากปากของเราเถอะครับ
3.3 การพูดโกหก (คส.3:9)
การพูดโกหก คือการพูดไม่ตรงตามความจริง พูดบิดเบือน รวมถึงการพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว การพูดโกหกหลอกลวงพระเจ้าจะลงโทษ เราเห็นตัวอย่างของอานาเนียกับซัฟฟีรา ที่โกหกพระเจ้า (กจ.5:1-5) อะไรจริงก็ว่าจริง (มธ.5:37) พระเจ้าต้องการให้เราทิ้งตัวเก่าให้หมดสิ้น 
เราได้เห็น 3 สิ่งที่พระจ้าไม่พอพระทัย ไม่ว่าจะเป็นการกระทำที่ไม่ดีไม่ถูกต้อง ความคิดที่ไม่ถูกต้อง และการพูดที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งสิ่งเหล่านั้นจะทำให้เราถูกพิพากษาลงโทษได้

ขอพระเจ้าอวยพรครับ