21 กรกฎาคม 2555

ครอบครัวของเรา


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม 2012

พระธรรม มัทธิว 12:46-50
เหตุการณ์ตอนนี้เป็นเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ที่พูดกับคนหนึ่งที่มาบอกพระเยซูว่า “มารดาและน้องๆ ของพระองค์มาหา” และพระเยซูได้บอกกับคนนั้นที่มาบอกว่า “ใครคือมารดาและพี่น้องของพระองค์” ซึ่งเมื่อเราฟังแล้วเราอาจจะรู้สึกไม่สบายใจหรือสงสัยว่าทำไมพระองค์ถึงได้กล่าวเช่นนั้น พระองค์ไม่ยอมรับมารดาและน้องๆ ของพระองค์หรือ หรือว่าพระองค์อายคนอื่น หรือว่าพระองค์ต้องการจะปิดบังความจริง เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ไปเรื่อยๆ เราจะพบว่าพระองค์ตรัสเช่นนี้เพราะพระองค์ต้องการที่จะสอนความจริงเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวให้สาวกและเราทั้งหลายเข้าใจ เพราะว่าครอบครัวของเรานั้นไม่ได้มีเฉพาะพ่อแม่พี่น้องในฝ่ายกายภาพเท่านั้น เรายังมีพี่น้องในฝ่ายวิญญาณด้วย พระองค์ได้สอนเราทั้งหลายให้มีความสมดุลย์แม้ว่าครอบครัวฝ่ายธรรมชาติจะมีความสำคัญก็จริงแต่ครอบครัวฝ่ายวิญญาณก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน พระองค์จึงได้ใช้เหตุการณ์ตอนนี้สอนพวกสาวกของพระองค์เวลานั้นและสอนเราในเวลานี้เสียเลย ซึ่งเราเห็นสิ่งที่พระเยซูทำเป็นการสอนเราด้วยตัวอย่างที่ชัดเจน ดังนี้
1.ครอบครัวฝ่ายกายภาพ (มธ.12:46-47)
พระเยซูมีแม่คือนางมารีย์ ซึ่งเป็นหญิงที่พระเจ้าทรงโปรดปราน และนางมารีย์ก็เป็นแม่ที่รักลูกและดูแลเอาใจใส่เช่นเดียวกับแม่ทั่วไป และนางมารีย์ก็ยังมีลูกชายอีกหลายคน คือ ยากอบ โยเซฟ ซีโมน ยูดาหรือยูดาส และยังมีน้องสาวอีกด้วย และน้องๆ ของพระองค์ก็ไม่ได้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า และยังเคยท้าทายให้พระเยซูสำแดงพระองค์เองในที่ต่างๆ อีกด้วย (ยน.7:3-5) ไม่เพียงแต่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า พวกน้องๆ ของพระองค์ยังคิดว่าพระองค์เป็นบ้าอีกต่างหาก (มก.3:20-21) แต่พระองค์ทรงรู้ว่าพระองค์กำลังทำสิ่งใดอยู่ พระองค์ทรงอดทนต่อพวกเขาอย่างมาก และหลังจากที่พระองค์ทรงฟื้นขึ้นจากความตายแล้ว พระองค์ก็ทรงปรากฎตัวกับยากอบน้องชายของพระองค์ (1คร.15:7) ในที่สุดนางมารีย์และน้องๆ ของพระองค์ก็เชื่อวางใจในพระองค์และเป็นผู้เชื่อที่เข้มแข็งด้วย (กจ.1:14) แม้ว่าขณะที่พระเยซูมีชีวิตอยู่ในโลกไม่นานและไม่ค่อยได้ทำหน้าที่ของความเป็นลูกต่อนางมารีย์มากนักเพราะบทบาทความเป็นพระเจ้าของพระองค์ แต่ก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์ที่กางเขน พระองค์ได้ฝากแม่ของพระองค์ไว้กับสาวกคนสนิทของพระองค์ (ยน.19:26-27) การเลี้ยงดูเอาใจใส่พ่อแม่และญาติพี่น้องเป็นสิ่งที่ถูกต้อง (1ทธ.5:8) เราจะต้องทำหน้าที่ของเราอย่างดีที่สุดสุดกำลังความสามารถของเรา ไม่ใช่เฉพาะฝ่ายร่างกายเท่านั้นเราควรดูแลในเรื่องฝ่ายวิญญาณและจิตใจด้วย เราไม่ควรทำให้พ่อแม่ของเราเสียใจ เราควรที่จะให้เกียรติพ่อแม่แม้ว่าท่านอาจจะไม่ได้เรียนหนังสือสูงเท่าเรา หรือประสบความสำเร็จเท่าเรา หรือว่า ร่ำรวยเท่าเรา แม้ว่าท่านอาจจะทำผิดพลาดบางสิ่งบางอย่าง เราก็ยังต้องให้เกียรติท่านด้วย
2. ครอบครัวฝ่ายวิญญาณ (มธ.12:48-50)
พระเยซูชี้มือไปที่คนต่างๆ ที่นั่งอยุ่ในบริเวณนั้นและบอกกับคนที่มาแจ้งกับพระองค์ว่า คนที่ทำตามน้ำพระทัยของพระบิดาที่สถิตในสวรรค์นั่นแหละคือพี่น้องชายหญิงและมารดาของพระองค์ นั่นแสดงว่าพระเยซูเห็นความสำคัญของครอบครัวฝ่ายวิญญาณด้วยเช่นกัน และดูเหมือนว่าพระองค์ให้ความสำคัญกับครอบครัวฝ่ายวิญญาณมากกว่าครอบครัวฝ่ายกายภาพเสียอีก พระองค์ไม่ได้ออกมาตอนรับนางมารีย์และน้องๆ ของพระองค์ แต่ยังบอกว่าคนที่นั่งอยู่แถวนั้นคือพี่น้องของพระองค์ (ลก.8:21) ซึ่งคำพูดและการกระทำดังกล่าวเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า พระองค์เห็นความสำคัญของครอบครัวฝ่ายวิญญาณ เพราะอะไรพระองค์จึงเห็นความสำคัญของครอบครัวฝ่ายวิญญาณ อาจจะเป็นเพราะว่า ครอบครัวฝ่ายวิญญาณจะเป็นครอบครัวที่มีความสัมพันธ์กันตลอดไปแม้ว่าเราจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม เรายังจะเป็นพี่น้องกันต่อไป และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้คิดได้ว่าพระองค์เห็นความสำคัญของครอบครัวฝ่ายวิญญาณ เพราะว่าพระองค์ได้ทรงไถ่เขาออกมาจากความบาปด้วยพระวรกายและพระโลหิตของพระองค์ พระองค์แลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิตของพระองค์ พระองค์ต้องการให้เราทุกคนได้ไปอยู่กับพระองค์ที่สวรรค์ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่เรียกพระองค์ว่าพระเจ้าจะได้เข้าแผ่นดินสวรรค์ (มธ.7:21-23) ให้เราดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เชื่อฟังพระองค์ อย่าทำตามใจตัวเอง เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ช่วยทำให้เราพ้นจากการพิพากษาลงโทษไปได้ สิ่งเดี่ยวที่จะทำให้เราได้อยู่ด้วยกันตลอดไป คือ เราต้องประกาศให้กับคนที่เรารัก ครอบครัวของเรา ให้เขาเชื่อวางใจในพระเยซูเพื่อรับความรอด และเราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป
เราต้องให้ความสำคัญกับครอบครัวของเราโดยการประกาศให้พวกเขากลับใจใหม่ เราต้องทำหน้าที่ของเราอย่างดีเลิศ เราต้องมีความสมดุลย์ ไม่ตกขอบไปทางด้านหนึ่งด้านใด เพราะเรามีทั้งครอบครัวฝ่ายกายภาพและครอบครัวฝ่ายวิญญาณ

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

14 กรกฎาคม 2555

อย่าหนีการทรงเรียกของพระเจ้า


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2012

พระธรรม โยนาห์ 1-4
พระธรรมโยนาห์เป็นเรื่องราวที่ทำให้เราเห็นถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์ไม่ว่า พวกเขาจะเป็นอย่างไร และพระธรรมโยนาห์ยังแฝงไว้ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนาน รวมถึงความขมขื่น การอาฆาตพยาบาทที่มีมาอย่างยาวนานในชีวิตของมนุษย์ ทำให้เราเห็นผลเสียต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นหากเรายังมีรากขมขื่นและยังไม่ให้อภัยเช่นโยนาห์ ประวัติศาสตร์ไม่อาจที่จะลบล้างออกไปได้ แต่ความขมขื่นสามารถที่จะลบออกไปได้ด้วยการให้อภัย พระเจ้าทรงเรียกโยนาห์เพื่อให้ไปประกาศกับนีนะเวห์ถึงการพิพากษาของพระเจ้าที่จะมาถึงพวกเค้าหากไม่กลับใจใหม่ แต่เนื่องจากบรรพบุรุษของนีนะเวห์ก็คือเอโดมซึ่งเป็นพี่ชายของอิสราเอล ที่ไม่ยอมให้อิสราเอลเดินผ่านเมืองไปยังคานาอัน จึงทำให้อิสราเอลต้องเดินทางอ้อมไปทางอื่น เป็นเหตุให้ต้องเสียเวลาเพิ่มขึ้นในการเดินทาง ทำให้โยนาห์เกิดรากขมขื่นกับคนเอโดม และไม่ยอมให้อภัยแม้ว่าเวลาจะยาวนานสักเพียงใด โยนาห์เป็นคนที่รักพระเจ้าและเชื่อว่าวันหนึ่งพระเจ้าจะต้องลงโทษพงษ์พันธ์ของเอโดม คือ นีนะเวห์ เพราะว่าคนนีนะเวห์ ไม่เดินกับพระเจ้า กระทำความผิดบาปมากมาย โยนาห์ต้องการให้คนนีนะเวห์ถูกลงโทษจากพระเจ้า แต่เมื่อพระเจ้าต้องการที่จะให้นีนะเวห์กลับใจและหันหลังให้กับบาป เพื่อพระเจ้าจะได้ไม่ต้องลงโทษพวกเขา โยนาห์กลับไม่พอใจ และเมื่อพระเจ้ามาเรียกโยนาห์เพื่อจะใช้ให้ไปนีนะเวห์จึงหนีการทรงเรียกของพระเจ้า แต่อย่างไรก็ตามพระเมื่อพระเจ้าเรียกใครอย่างเจาะจงแล้ว พระองค์ก็จะทรงเรียกผู้นั้นจนสำเร็จ ไม่ว่าเราจะหนีไปไหน ไม่ว่าเราจะไปซ่อนตัวอยู่ในที่ใด พระองค์ก็จะตามหาเราจนเจอ ดังนั้นอย่าคิดที่จะหนีการทรงเรียกของพระเจ้า ทำไมเราจึงไม่ควรหนีการทรงเรียกของพระเจ้า จะยกตัวอย่างให้เห็นเหตุผล 4 ประการ คือ
1.ทำให้เกิดผลเสียขึ้นมากมาย (1-2)
ขณะที่โยนาห์กำลังหนีการทรงเรียกของพระเจ้าไปยังเมืองทารชิช เราเห็นผลเสียหรือผลร้ายเกิดขึ้นกับโยนาห์และคนรอบข้างที่เขาอยู่ด้วย
1.1 ทำให้ตัวเองและคนอื่นเกือบต้องเสียชีวิต (1:1-17)
พระเจ้าทรงทำให้เกิดลมพายุใหญ่เกิดขึ้นในทะเล ทำให้เรือที่โยนาห์โดยสารไปยังเมืองทารชิชนั้นเกือบจะเกิดการอัปาง หรือเกือบจะจม จนต้องขนสิ้งของต่างๆ ทิ้งลงในทะเลจนหมด เพื่อให้เรือเบาขึ้น คนในเรือทุกคนรวมทั้งโยนาห์เกือบเอาชีวิตไม่รอด คนๆ เดียวที่หนีการทรงเรียกของพระเจ้า เกือบทำให้คนทั้งหมดที่อยู่บนเรือเสียชีวิต คนๆเดียวไม่เชื่อฟังฉันใดก็นำการสูญเสียมาสู่ตัวเองและคนอื่นอีกมากมาย เช่นเดียวกับอาคานคนเดียวที่ไม่เชื่อฟังฉันใด อิสราเอลทั้งกองทัพต้องพ่ายแพ้ อาคานบุตรนูนได้นำเอาของถวายบางส่วนไปเป็นของตน พระพิโรธของพระเจ้าจึงพลุ่งขึ้นสู่คนอิสราเอล (ยชว.7:1) อาคานได้ประพฤติอสัตย์ พระพิโรธของพระเจ้าก็มาเหนือชุมชนอิสราเอล (ยชว.22:20) การไม่เชื่อฟังของคนๆ เดียวก็นำความเสียหายมาสู่คนมากมายได้ แต่พระเยซูผู้เดียวที่เชื่อฟังการทรงเรียกของพระบิดาก็นำชีวิตมาสู่คนมากมายได้ (1คร.15:22) การเชื่อฟังทำให้คนได้รับความรอด หากเราเชื่อฟังการทรงเรียกของพระเจ้าเราจะช่วยคนได้มากมายเช่นกัน
1.2 จะทำให้ตัวเองเกิดความทุกข์ (2:1-7)
ไม่เพียงแต่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ข้าวของต้องเสียหายมากมาย เท่านั้นยังไม่พอ ยังต้องตกอยู่ในควมทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ เมื่อโยนาห์หนีการทรงเรียกของพระเจ้า ร่างกายและจิตใจก็ตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบากตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว เพราะว่าต้องจากบ้าเรือน จากญาติพี่น้อง ต้องทุกข์ระทมเพราะไม่เป็นไปอย่างที่ตนเองคาดคิดแต่ตรงกันข้ามกับจะเห็นคนที่ตนเองเกลียดชังจะได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า  เช่นเดียวกับอาดัมกับเอวา เมื่อทำความผิดก็เกิดความทุกข์ระทม ไม่กล้าสู้หน้าพระเจ้าต้องไปซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ (ปฐก.3:8-10) เมื่อไม่เชื่อฟังก็ทำให้เกิดความทุกข์ ทั้งทางร่างการและจิตใจ หนักสุดจนถึงจิตวิญญาณ ซึ่งจะต้องได้รับโทษในที่สุด ดังนั้นไม่ควรหนีการทรงเรียกของพระเจ้า เมื่อพระเจ้าเรียกเราให้ทำสิ่งใดให้เราเชื่อฟังและตอบสนองการทรงเรียกของพระเจ้าทันที
2. ทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย (1-2)
เมื่อโยนาห์ไม่ตอบสนองการทรงเรียกของพระเจ้า พระเจ้าไม่พอพระทัย พระองค์ก็จะหาทางสะกัดกั้นการหนีของโยนาห์ด้วยการทำทุกอย่างให้โยนาห์หนันกลับมา สิ่งที่เราเห็น คือ
2.1 พระเจ้าทรงขัดขวาง (1:1-16)
พระเจ้าทำให้เกิดพายุใหญ่ขึ้นกลางทะเล จนทำให้เรือไม่สามารถท่ะวิ่งต่อไปได้ โครงเครงไปมา คลื่นก็โถมซัดเข้ามาจนทำให้เรือเกือบจะจม จนต้องขนของทุกอย่างในเรือทิ้งก็ยังไม่สามารถช่วยอะไรได้ พระเจ้าจะกระทำทุกวิถีทางเพื่อให้เรากลับเข้าสู่แผนการของพระเจ้า พระเจ้าได้ทรงเริ่มต้นการดีไว้แล้วพระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จตามพระประสงค์ของพระองค์ อาจารย์เปาโล กล่าวไว้เช่นนั้น (ฟป.1:16) ดังนั้นเราไม่ควรหนีการทรงเรียกของพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าจะทรงกระทำให้สำเร็จ จะขัดขวางเรา จะนำเรากลับมา เราจะเสียเวลาเปล่า
2.2 พระเจ้าจะลงโทษ (1:17-2:6)
ไม่เพียงแต่พระเจ้าจะขัดขวาง เมื่อเราไม่กลับใจใหม่พระเจ้าจะลงโทษ โยนาห์เหมือนอยู่ในคุกมืด เมื่อพระเจ้าให้ปลาใหญ่มากินโยนาห์ โยนาห์ต้องอยู่ในนั้น 3 วัน 3 คืน ไม่ได้หลับได้นอน ไม่ได้กินอะไรเลย เต็มได้ด้วยความทุกข์ทรมาน เจ็บทั้งกาย เจ็บทั้งใจ (ยนา.2:2) ซึ่งเป็นการลงโทษจากพระเจ้า หากเราทำผิดทำบาปและไม่กลับใจใหม่ เราจะต้องถูกลงโทษจากพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้เรากลับใจใหม่ เพื่อเราจะได้รับพระพรจากพระเจ้า
3. พระเจ้าต้องการใช้เรา (3)
เมื่อพระเจ้าเรียกเรา พระเจ้าต้องการที่จะใช่เราไปทำสิ่งที่ดีบางอย่าง พระองค์มีพระประสงค์สำหรับเรา และพระองค์ทรงรู้ว่าเราทำได้ เราเห็นสิ่งที่พระเจ้าใช้โยนาห์ไปทำคือ
3.1 ประกาศความจริงของพระเจ้า (3:1-9)
พระเจ้าใช้โยนาห์ให้ไปประกาศความจริงของพระเจ้า เรื่องการพิพากษาของพระเจ้าที่จะมาถึงนีนะเวห์ ว่า อีกสีสิบวันนีนะเวห์จะถูกคว่ำ หากพวกเขาไม่กลับใจใหม่ พระเจ้าเรียกเราต้องให้เราออกไปประกาศความจริงเรื่องแผ่นดินของเจ้า ให้เรานำความรอดไปสู่คนทั้งหลายทุกชนชาติ ดังพระมหาบัญชาของพระเจ้า (มธ.28:19-20) พระเยซูเป็นแบบอย่างของการเชื่อฟัง เพื่อประกาศความจริงของพระเจ้า (ฟป.2:8-9) (รม.5:8) พระเจ้าต้องการใช้เราและรู้ว่าเราทำได้ ให้เราเชื่อฟัง ไม่หนีการทรงเรียกของพระเจ้า
3.2 ช่วยคนให้พ้นจากการถูกพิพากษา (3:10)
เมื่อโยนาห์ประกาศความจริงของพระเจ้าออกไปชาวนีนะเวห์กลับใจใหม่ พระเจ้าก็กลับพระทัยไม่ลงโทษนีนะเวห์ พระเจ้าไม่ต้องการให้ใครสักคนต้องพินาศไปเลย (มธ.18:14) พระองค์จะทรงพิทักษ์รักษาเขาเอาไว้ (ยน.17:12) พระเจ้าจะทรงปกป้องคนของพระองค์โดยการประกาศของเราทั้งหลาย เราจึงไม่ควรหนีการทรงเรียกของพระเจ้า เพราะพระเจ้าจะใช้เราให้ไปช่วยคนที่กำลังจะพินาศให้ได้รับความรอด
4. เพราะพระเจ้าทรงพระคุณ (4)
พระเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยพระคุณนานาประการ และพร้อมที่จะหยิบยื่นให้กับเราทุกคน ไม่ว่าเราจะเป็นคนอย่างไรก็ตาม พระองค์พร้อมเสมอที่จะให้อภัยและยกโทษให้กับเรา พระเจ้ามีพระคุณต่อใครบ้าง
4.1 ทรงพระคุณต่อเรา (4:1-10)
แม้ว่าโยนาห์จะหนีพระเจ้าอย่างไร พระองค์ก็ยังทรงพระคุณต่อโยนาห์ พร้อมที่จะช่วยเหลืออยู่เสมอ ในยามที่เดือดร้อนพระเจ้าก็เข้ามาช่วยเหลือ ดังนั้นไม่ว่าเราจะเดือดร้อนด้วยเรื่องอะไร เมื่อเราหันหน้าเข้ามาหาพระเจ้า พระองค์ก็พร้อมทุกเวลาที่จะช่วยเหลือเรา ซึ่งเป็นพระคุณซ้อนพระคุณสำหรับเรา (ยน.1:16) พระองค์ทรงอดทนต่อเราอย่างมากเหมืนอที่พระองค์ทรงอดทนต่อคนอิสราเอล (กจ.13:18)
4.2 ทรงพระคุณต่อคนอื่น (4:11)
ไม่เพียงแต่พระเจ้าทรงพระคุณต่อเรา พระเจ้ายังทรงพระคุณกับคนทั้งหลายอีกด้วย เพราะว่าคนเหล่านั้นต่างก็เป็นลูกของพระองค์เช่นกัน พระเจ้าทรงพระคุณต่อโยนาห์ฉันใดพระเจ้าก็ทรงพระคุณต่อนีนะเวห์ฉันนั้น ไม่ว่านีนะเวห์จะทำความผิดบาปมากเท่าไหร่ก็ตามพระเจ้าก็ยังให้โอกาสนีนะเวห์ที่จะกลับใจก่อนที่พระเจ้าจะทรงพิพากษาพวกเขา ดังนั้นเมื่อพระเจ้าเรียกเราให้ทำการใดๆ เราจึงควรที่จะตอบสนองด้วยความยินดี เพราะว่าพระองค์ทรงมีพระคุณกับเราและคนทั้งหลายเพียงพอเสมอ อย่าวิ่งหนีการทรงเรียกของพระเจ้าเลยเพราะว่าเราจะเหนื่อยเปล่า เราจะต้องเผชิญกับปัญหาอุปสรรค์มากมาย พระเจ้าจะทรงขัดขวางเราทุกวิถีทาง เพื่อทำให้เรากลับใจใหม่ เพื่อจะใช้เราไปประกาศและช่วยเหลือคนมากมายให้ได้รับความรอด

ขอพระเจ้าอวยพรครับ