31 ตุลาคม 2553

26 ตุลาคม 2553

เพื่อพระเจ้าหรือเพื่อตัวเอง

สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม 2010
เรื่อง เพื่อพระเจ้าหรือเพื่อตัวเอง
พระธรรม มัทธิว 6:1-8, 16-18


               พระวจนะตอนนี้ ได้เปรียบเทียบระหว่างบัญญัติที่คนยึดถือ กับเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่ต้องการให้เรายึดถือ พระเยซูสอนให้เราเข้าใจหลักการเบื้องหลังและความคิดที่ถูกต้องของธรรมบัญญัติ และย้ำเตือนให้คริสเตียนทำสิ่งต่างๆ ด้วยเข้าใจความหมายไม่ใช่สักแต่ว่าได้ทำเท่านั้น พระวจนะตอนนี้ พระเยซูได้ชี้ให้เห็นพฤติกรรมและท่าทีภายในของพวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์ ซึ่งทำสิ่งต่างๆ เพื่อเป็นการอวดอ้างตัวเอง พระเยซูเรียกคนเหล่านี้ว่าเป็น คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าคนเหล่านี้ทำศาสนกิจเพื่ออวดคนไม่ได้แสวงหาพระเจ้าอย่างแท้จริง พระเยซูรู้ถึงแรงจูงใจของพวกเค้า พระเยซูจึงสั่งห้ามคริสเตียนผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้าไม่ให้ทำตามแบบอย่างของคนพวกนี้ ผมจะให้ชื่อคำเทศนาตอนนี้ว่า เพื่อพระเจ้าหรือเพื่อตัวเอง หมายความว่าถ้าเราทำเพื่อพระเจ้า หรืออยู่เพื่อพระเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว จะต้องเป็นอย่างไร เราสามารถดูได้จากพระคัมภีร์ตอนนี้ 3 ประการ คือ

1. ไม่ทำเพื่ออวดคนอื่น (v1-2, 5, 16)
พระคัมภีร์ทั้ง 4 ข้อนี้ได้ชี้ให้เราเห็นถึงพฤติกรรมของพวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์ ซึ่งพระเยซูเรียกว่าเป็น คนหน้าซื่อใจคด การเป่าแตรไปข้างหน้า (v2) หมายถึง การทำสิ่งต่างๆ เพื่อต้องการให้คนเห็น ให้คนรู้ว่าทำอะไร หรือเรียกร้องความสนใจจากคนอื่น เพื่อคนจะได้สรรเสริญตนเอง อาการเช่นนี้ พระเยซูบอกว่า หน้าซื่อใจคด พวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์ เวลาอธิษฐานก็จะชอบไปยืนอยู่ตามถนน ตามหัวมุมตลาด ตามชุมชนที่มีคนอยู่มากๆ หรือตามธรรมศาลา เพื่อให้คนที่ผ่านไปผ่านมาเห็นว่าตนเองกำลังอธิษฐานอยู่ ทำเป็นเหมือนคนเคร่งครัดในพระศาสนา (v5) หรือเวลาอดอาหารอธิษฐานก็มักจะทำให้หน้าตามอมแมม ดูโทรมๆ ทำตัวให้ดูน่าสงสาร เพื่อเรียกร้องความสนใจจากชาวบ้าน (v16) เพื่อให้ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ ว่าพวกตนเป็นผู้ถือศาสนาอย่างเคร่งครัด เป็นคนดีทำตามธรรมบัญญัติของบรรพบุรุษ แต่พระเยซูบอกว่าหน้าซื่อใจคด ทำเพื่ออวดคนอื่น การทำเพื่ออวดคนอื่นไม่เพียงแต่อวดร่ำอวดรวยเท่านั้น ยังรวมถึงการโอ้อวดด้านคุณธรรม หรือคุณงามความดีด้วย การทำท่าทางว่าเดินกับพระเจ้าเข็มแข็ง เพียงเพราะหว่างสายตามคนอื่น กลัวว่าคนอื่นจะมองว่าวิญญาณไม่ดี หรือกลัวว่าจะหาคู่ครองไม่ได้เดี๋ยวไม่มีใครมอง หรือถูกมองว่าไม่ร้อนรน พระเยซูบอกว่าพวกธรรมาจารย์กับพวกฟาริสี สอนคนอื่นแต่ตัวเองไม่ได้ทำตามที่ตัวเองสอน ห้อยกลักพระธรรมอันใหญ่เอาไว้ที่เอว (มธ.23:1-7) กลักพระธรรมคือกล่องหนังบรรจุบทบัญญัติของโมเสส แสดงว่าเป็นคนเคร่งศาสนาของคนยิว พระเยซูเตือนว่า จงระวัง หมายถึงให้เราเอาใจใส่และระมัดระวังท่าทีของเราในการเดินติดตามพระเจ้า ที่จริงแล้วเมื่อเราเดินกับพระเจ้าเราควรเดินอย่างจริงจัง ทำอย่างเต็มที่เต็มกำลังของเราจะดีกว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ควรอย่างดีถวายเกียรติแด่พระเจ้า พระคัมภีร์ ยังได้เตือนเราว่าคนโอ้อวดจะไม่ยืนอยู่เฉพาะพระเนตรของพระองค์ (สดด.5:5) สิ่งที่เราสมควรอวดคืออวดองค์พระผู้เป็นเจ้า (2คธ.10:17) อย่าอวดตัวเองแต่ให้อวดพระเจ้า

2. พระเจ้ารู้ทุกสิ่งที่เราทำ (v3-4, 6, 17-18)
พระคัมภีร์บอกว่าไม่ว่าเราทำในที่ลับพระเจ้าก็เห็นสิ่งที่เราทำ พระเจ้าเห็นทุกอย่างที่เราทำ รู้ทุกสิ่งที่เราคิด ไม่ว่าเราจะทำอะไร อยู่ที่ไหน ในที่ลับหรือที่แจ้ง พระองค์ทรงรู้ทั้งสิ้น ทุกอย่างปรากฏต่อสายตาของพระองค์ทุกอย่าง ในข้อ 3 พระเยซูไม่ได้สอนให้เราปกปิดสิ่งดีที่เราทำ หรือว่าให้เราแอบทำสิ่งดีต่างๆ แต่สอนให้เราทำสิ่งดีโดยไม่ต้องอวดอ้างหรือประกาศให้ใครรู้ เพราะไม่ว่าใครจะรู้หรือไม่ ไม่สำคัญเพราะว่าพระเจ้าทรงรู้ พระองค์ดูที่ท่าทีภายในของเรามากกว่าการกระทำภายนอก นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า การกระทำภายนอกไม่สำคัญ การกระทำภายนอกมีผลมาจากท่าทีภายในใจของเรา ถ้าภายในถูกต้องก็จะแสดงออกมาภายนอกได้อย่างถูกต้องด้วยเช่นกัน การกระทำของเราด้วยท่าทีที่ถูกต้อง พระเจ้าไม่เคยลืม (ฮบ.6:10) และสิ่งที่เราทำด้วยท่าทีที่ถูกต้องจะไร้ประโยชน์ก็หามิได้ (1คธ.15:58) พระเจ้ามองดูการกระทำขอเราทุกสิ่ง และรู้ว่าเราเป็นอย่างไร ไม่ว่าเราทำสิ่งดี หรือทำบาป พระเจ้าทรงรู้และเห็น ที่ลับของมนุษย์ ก็เป็นที่โล่งแจ้งของพระเจ้า ดังนั้นเราต้องทำทุกสิ่งด้วยท่าทีที่ถูกต้อง ทำเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า ให้พระเจ้าได้รับเกียรติแต่เพียงผู้เดียวจากชีวิตของเรา

3. บำเหน็จมีให้กับใจถูกต้อง (v2, 4-6, 18)
จากพระคัมภีร์ทั้ง 5 ข้อดังกล่าว เราพบว่า มีแหล่งที่มาของบำเหน็จ 2 แหล่ง คือบำเหน็จที่มาจากมนุษย์ เราเห็นในข้อ 2, 5 และ 16 พระคัมภีร์บอกว่า เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว และแหล่งที่มาอีกที่หนึ่ง ก็คือ พระเจ้า เราเห็นในข้อ 4, 6 และ 18 พระคัมภีร์บอกว่า พระเจ้าทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่าน คนที่ทำเพื่อโอ้อวดจะได้รับบำเหน็จเป็นคำสรรเสริญเยินยอจากมนุษย์ แต่คนที่ทำด้วยแรงจูงใจที่ถูกต้องถวายเกียรติแด่พระเจ้า จะได้รับบำเหน็จบนสวรรค์จากพระเจ้า กระทำเหมือนกันแต่รับผลต่างกัน เราจะต้องเลือกเอาว่าเราจะรับรางวัลจากไหน นั่นขึ้นอยู่ที่แรงจูงใจที่เราทำ เพราะว่าเราหว่านอะไรเราก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น (กท.6:7) ถ้าเราหวังบำเหน็จ หรือคำชมเชยจากมนุษย์ เราก็จะไม่ได้จากพระเจ้า พระเยซูสอนเรื่องการอธิษฐานว่า เวลาอธิษฐานอย่าพูดซ้ำๆ ซากๆ (มธ.6:7-8) หาความหมายไม่ได้ หรือไม่ได้มาจากจิตใจภายในที่ต้องการอย่างแท้จริง ดังนั้นเวลาเราอธิษฐานให้เราอธิษฐานด้วยใจที่เชื่อในพระเจ้าไม่สงสัย และมีความมั่นใจว่าเราจะได้รับหากสิ่งนั้นเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ทุกคำอธิษฐานของเราจะต้องมีความหมาย ไม่ว่าอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาหาร ขอบคุณพระเจ้าก่อนนอน หรืออธิษฐานวิงวอนต่อพระเจ้าต้องมาจากใจอย่างแท้จริง

              ถ้าเราอยู่เพื่อพระเจ้าเราจะไม่ทำเพื่ออวดคนอื่น และเราตระหนักว่าพระเจ้ารู้ทุกสิ่งที่เราต้องการ รู้ทุกอย่างที่เราคิด เห็นทุกอย่างที่เราทำ และเรารู้ว่า บำเหน็จจะเป็นของคนที่มีใจที่ถูกต้อง คือมีท่าทีถูกต้อง บำเหน็จจากพระเจ้าจะเป็นของเรา ดังนั้น ไม่ว่าเราจะทำอะไร เราต้องตระหนักว่าเราจะทำเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า แม้ว่าไม่มีใครเห็น แต่เรารู้ว่าพระเจ้าทรงเห็น ชีวิตของเราจะถวายเกียรติแด่พระเจ้าตลอดไป

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

24 ตุลาคม 2553

พระเจ้าทรงจัดสรรสิ่งที่ดีกว่า

พระเจ้าทรงจัดสรรสิ่งที่ดีกว่า พระพรจาก อ.สวัสดิ์ พันชนะ ศิษยาภิบาลคริสตจักรแห่งสันติภาพ

ความรักที่มีให้แก่กัน

พระพรเรื่องความรักที่มีให้แก่กัน โดย คุณฝน สมาชิกคริสตจักรแห่งสันติภาพ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2010

23 ตุลาคม 2553

คำทักทายจากศิษยาภิบาล 24-10-2010

สวัสดีครับพี่น้องและแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน

     คริสตจักรแห่งสันติภาพขอต้อนรับทุกท่านด้วยความยินดียิ่ง ผมหวังว่าท่านจะได้สัมผัสความอบอุ่นและความรักของพระเจ้าที่มีอยู่ในพวกเรา ทุกคนนะครับ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเรามีสัมมนาเชิงวิชาการ ซึ่งอาจจะเข้าใจยากบ้าง แต่ผมหวังว่าพวกเราทุกคนคงจะได้ความรู้และมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ขึ้นนะครับ
ช่วงนี้พี่น้องคงทราบข่าวเกี่ยวกับน้ำท่วมในหลายๆ จังหวัด โดยเฉพาะที่โคราชบ้านของน้องเล็กน้ำท่วมมาก เสียหายอย่างหนัก ฝากพี่น้องอธิษฐานเผื่อพวกผู้ประสบภัยด้วย ขอให้พระเจ้าดูแลพวกเค้าและมีโอกาสรู้จักพระเจ้าผ่านเหตุการณ์เหล่านี้ด้วย หากเราจะสามารถมีส่วนช่วยเหลืออย่างไรกรุณาแจ้งให้ทราบด้วยครับ
ตอนนี้ก็จะย่างเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยพี่น้องต้องระมัดระวังและดูแลสุขภาพให้ดี ออกกำลังด้วยนะครับ สัปดาห์ที่ผ่านมามีพี่น้องของเราเจ็บป่วยหลายท่าน โดยเฉพาะคุณสายสุนีย์ ต้องเข้าโรงพยาบาลให้เลือดด้วย ขอให้พี่น้องอธิษฐานเผื่อผู้ที่เจ็บป่วย และถ้าหากมีเวลาก็โทรศัพท์หรือไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจกันด้วยนะครับ
     ผมขอเชิญชวน และหนุนใจพี่น้องทุกท่านไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการกำหนดอนาคตประเทศไทยของเรา โดยการร่วมใจกันอธิษฐานเผื่อประเทศไทยของเรา ในเย็นวันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม 2010 (ศุกร์ที่จะถึงนี้) ที่ รอยัลจูบิลี่ ฮอล์ อาคารชาแลนเจอร์ เมืองทองธานี ตั้งแต่เวลา 18.00-21.30 น
     ผมเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงประทาน สิ่งที่ดีสำหรับคนที่รักพระองค์ และพระเจ้าจะทรงให้เราทั้งหลายเกิดผลมากเมื่อเราติดสนิทอยู่กับพระองค์ ขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยครับ
อ.สวัสดิ์ พันชนะ
ศิษยาภิบาลคริสตจักรแห่งสันติภาพ
24-10-2010

19 ตุลาคม 2553

หน้าซื่อใจคด

          คำว่า "หน้าซื่อใจคด" เป็นคำที่ปรากฎอยู่ในพระคัมภีร์ ถึง 21 ครั้ง ปรากฎอยู่ใน หนังสือมัืืทธิวมากที่สุดถึง 14 ครั้ง รองลงมาอยู่ใน ลูกา 4 ครั้ง และที่เหลืออยู่ใน มาระโก  1ทิโมธี  ยากอบ อย่างละ 1 ครั้ง คำว่า "หน้าซื่อใจคด" ที่ปรากฎอยู่ในพระคัมภีร์นั้นมีความหมายว่า "ไม่จริงใจ" หรือ "ทำเอาหน้า" 
          เราเห็นพระเยซูต่อว่าพวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์ ที่ชอบทำอะไรเอาหน้า ไม่มีความจริงใจ ต้องการให้คนสรรเสริญเยินยอ ใน มัทธิว 6:2 "เหตุฉะนั้น เมื่อท่านทำทานอย่าเป่าแตรข้างหน้าท่าน เหมือนคนหน้าซื่อใจคด กระทำในธรรมศาลาและตามถนน เพื่อให้คนสรรเสริญ..." 
          จากพระคัมภีร์ตอนนี้ ในขณะที่พระเยซูต่อว่าพวกฟาริสี   พระองค์ก็สอนเราในฐานะที่เป็นผู้เชื่อว่า อย่าได้ทำอย่างคนเหล่านี้ที่ทำเอาหน้า ไม่มีความจริงใจ โพนทนา ตีฆ้องร้องปล่าวให้คนรู้ถึงสิ่งที่ตนทำ  ปลายข้อ 2 ของพระธรรมตอนนี้ ได้บอกว่า เราบอกความจริงแ่ก่ท่านว่า "เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว" หมายความว่า คนหน้าซื่อใจคด ได้ัรับ บำเหน็จของเขาไปเรียบร้อยแล้ว บำเหน็จรางวัลของเขา ก็คือคำเยินยอจากมนุษย์ หรือคนที่อยู่รอบข้าง ฟังดูเหมือนดีนะครับ คน "หน้าซื่อใจคด" ได้รับบำเหน็จรางวัลด้วย  แต่พระเยซูยังบอกว่า สิ่งที่ "คนหน้าซื่อใจคด" ยังมีอีก สิ่งนั้นคืออะไร พระคัมภีร์ใน มัทธิว 23:13-15, 23, 25, 27 และ 29 ได้บอกให้เรารู้ว่าสิ่งที่ "คนหน้าซื่อใจคด" จะไ้ด้รับ คือ "วิบัติ" พระเยซูบอกว่า  “วิบัติแก่เจ้า   พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี   คนหน้าซื่อใจคด..." และใน มัทธิว 24:51 "...ซึ่งที่นั่นจะมีแต่การร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน"  ถ้าหากเราไม่ต้องการที่จะรับบำเหน็จเช่นเดียวกับคนหน้าซื่อใจคด เราจะต้องทำทุกสิ่งด้วยความจริงใจ ไม่เสแสร้ง เพราะว่าพระเจ้าทรงมองดูเราอยู่ พระองค์ดูที่ท่าทีภายในของเราว่าเป็นอย่างไร อย่าให้เรามีดีแต่เปลือกนอก ของแท้ต้องดูภายใน ไม่ว่าเราทำสิ่งใดผู้ที่จะไ้ด้รับคำสรรเสริญคือพระเจ้าไม่ใช่เรา จงทำทุกสิ่งด้วยความเต็มใจ เหมือนกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า (โคโลสี  3:23) 
         จงตระหนักเสมอว่า ให้เราทำทุกสิ่งเหมือนทำให้กับพระเจ้า ประกาศก็ประกาศให้กับพระเจ้า เลี้ยงดูฝูงแกะ ก็ทำให้กับพระเจ้า ทำงานที่บริษัท ก็ทำอย่างดีเหมือนทำให้กับพระเจ้า ให้เราำสำรวจตัวเราเองดูว่าที่ผ่านมาเราทำสิ่งต่างๆ ด้วยท่าทีอย่างไร

16 ตุลาคม 2553

เผชิญการบั่นทอน

สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม 2010
เทศนาเรื่อง “เผชิญการบั่นทอน”
พระธรรม เนหะมีย์ 4:10-23
     คำเทศนาตอนนี้สืบเนื่องมาจากครั้งที่ผ่านมา ที่เราได้ศึกษาผ่านมาแล้วว่า เนหะมีย์ได้เผชิญกับอุปสรรคขัดขวางมากมาย  แต่เนหะมีย์ก็สามารถผ่านพ้นมาได้ มาถึงตอนนี้อุปสรรคก็ยังไม่ได้หมดไป แต่ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคอื่นๆ อีกต่อไป อุปสรรคที่เนหะมีย์และพี่น้องต้องเผชิญกับแรงกดดันก็ทำให้พี่น้องคนยิวที่มาร่วมกันซ่อมกำแพงหมดกำลังใจ อันเนื่องมาจากการข่มขู่คุกคาม ของศัตรูที่อยู่โดยรอบ พระคัมภีร์ได้บอกเราว่าพี่น้องคนยิวในเวลานั้นถูกขู่ฆ่าเอาชีวิตถึง 10 ครั้ง (นหม.4:11-12) อีกทั้งยังมีคนที่ไม่ให้ความร่วมมือกับเนหะมีย์อีก เราเห็นตั้งแต่การเทศนาครั้งที่ผ่านมาแล้วว่า กลุ่มของช้าราราชการบางกลุ่มไม่ยอมทำงานอะไร และงานก็ยังหนักมากด้วย เนื่องจากความเสียหายมีมาก ทั้งประตู ทั้งกำแพง ที่ปรักหักพังลงมา ทำให้บั่นทอนจิตใจทั้งเนหะมีย์และพี่น้องคนยิวในเวลานั้นเป็นอย่างมาก ผมจะให้ชื่อคำเทศนาตอนนี้ว่า “เผชิญการบั่นทอน” เนหะมีย์เผชิญการบั่นทอนจากอะไรบ้าง และเนหะมีย์ทำอย่างไรจึงสามารถพรพี่น้องคนยิวเอาชนะสิ่งเหล่านั้นมาได้  มี 3 สิ่งที่เนหะมีย์กำลังเผชิญ ดังนี้
     1 ความเหน็ดเหนื่อย (นหม.4:10)
งานซ่อมกำแพงเยรูซาเล็มที่ปรักหักพังมีมากมาย เราเห็นตั้งแต่บทแรกๆ ของพระธรรมเนหะมีย์มาแล้วว่า มีประตูถูกเผาทำลาย ทั้งวงกบและบานประตูเสียหายหมด กำแพงก็พังทลายหลายที่หลายแห่ง บางที่ก็ทะลุเป็นช่องโหว่ ช่องว่าง อีกทั้งวัสดุที่จะนำมาซ่อมก็ไม่ใช่จะหาง่าย พระคัมภีร์บอกว่า “เรี่ยวแรงของคนที่ขนของก็กำลังทรุดลง และมีสิ่งที่ปรักหักพังมาก” ความเหน็ดเหนื่อยได้เข้ามาสู่คนทุกคนในเวลานั้น งานก็มีมาก อุปสรรคก็ไม่น้อย ย่อมสร้างความวิตกกังวลให้เกิดขึ้นเป็นธรรม แต่เราควรจะทำอย่างไร ที่จะเอาชนะสิ่งเหล่านั้น ความเหน็ดเหนื่อย ไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะกับเนหะมีย์เท่านั้น แต่มันเกิดกับทุกคน เราเห็นเกิดขึ้นกับ เอลียาห์ ที่ต้องเผชิญกับผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จถึง 450 คน ที่ภูเขาคารเมล (1พกษ.18:19-20) และยังมาเจอกับการไม่ตัดสินใจที่จะเลือกติดตามพระเจ้าของคนอิสราเอลอีก (1พกษ.18:21-22) หลังจากนั้นเอลียาห์ ก็ต้องเผชิญกับการขู่เอาชีวิตของเยเซเบลอีก ทำให้เอลียาห์ต้องหนีเอาชีวิตรอด ไปถึงเบเออร์เชบา เขตประเทศยูดาห์ (1พกษ.19:2-3) เอลียาห์ เหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ เกิดความท้อแท้ จนถึงขั้นขอพระเจ้าให้มาเอาชีวิตของท่านไป (1พกษ.19:4) แต่พระเจ้าก็มีทางออกให้กับเอลียาห์ (1พกษ.19:5-11) พี่น้องที่รัก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา พระเจ้าทรงมองดูอยู่ พระองค์จะทรงช่วยเหลือเรา เราจะสามารถก้าวข้ามสิ่งเหล่านั้นไปได้ เหมือนอาจารย์เปาโล ได้บอกให้เรารู้ว่า ท่านสามารถเผชิญทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังท่าน (ฟป.4:13)
     2 ความกลัว (นหม.4:12, 14)
คนยิวหรือคนอิสราเอลในเวลานั้น ถูกขู่ฆ่าทำร้ายตั้ง 10 ครั้ง ทำให้เกิดความกลัวเข้ามาเกาะกินในจิตใจของคนเหล่านั้น จนทำให้พวกเขาต้องมาบอกให้เนหะมีย์รู้ว่ามีการขู่ฆ่าเอาชีวิต แต่ผู้นำอย่างเนหะมีย์ มีจิตใจที่หนักแน่น ไม่หวั่นไหวอย่างง่ายๆ และเนหะมีย์มั่นใจในน้ำพระทัยของพระเจ้าที่เรียกให้เนหะมีย์กลับมาบูรณะเยรูซาเล็ม พี่น้องที่รักเมื่อพระเจ้าเรียกเราให้ทำสิ่งใดให้เรามั่นใจในการทรงเรียกของพระเจ้า ไม่ว่าจะมีอุปสรรคมากมายแค่ไหนก็ตาม เราต้องเชื่อว่าพระเจ้าจะนำเราข้ามไปและความสำเร็จรอเราอยู่ข้างหน้า เนหะมีย์ ไม่ได้ปล่อยให้ความกลัวเข้ามาครอบครองในจิตใจ เพราะเนหะมีย์รู้ว่า ถ้าท่านเกิดความกลัวขึ้นมาอีกคนรับรองได้ว่างานจะไม่สำเร็จ เนหะมีย์รู้ว่าทีมงานมีความกลัว ก็หนุนใจทีมงานว่า “อย่ากลัวเขาเลย” (นหม.4:14) เราต้องไม่ปล่อยให้ความกลัวมีชัยชนะเหนือเรา เราต่างหากเป็นผู้ชนะความกลัว  ความกลัวต้องถอยออกไป เราสามารถเอาชนะความกลัวได้ด้วยความรัก พระคัมภีร์บอกเราว่า “ในความรักนั้นไม่มีความกลัว” (1ยน.4:18) เราต้องขอความรักของพระเจ้าเติมให้เต็มในหัวใจของเรา เนหะมีย์ไม่เพียงแต่หนุนใจว่า อย่ากลัวเขาเลยเท่านั้น แต่เนหะมีย์บอกให้อิสราเอลว่า “จงระลึกถึงพระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งและน่าเกรงกลัว ผู้ที่ต่อสู้เพื่อท่านทั้งหลาย” (นหม.4:14) ไม่ว่าอะไรเข้ามาในชีวิตของเราให้เรามองดูที่พระเจ้า อย่ามองที่ปัญหาเท่านั้น เพราะว่ามันจะบั่นทอนจิตใจของเรา ถ้าความเจ็บป่วยเข้ามาในชีวิตของเรา ให้เรามองดูพระเจ้า อย่านอนจมอยู่ในความเจ็บป่วยนั้น จงรู้ว่า พระเจ้าจะช่วยเหลือคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง (รม.8:28) สำคัญอยู่ที่ว่าเรารักพระเจ้าหรือเปล่า และถามต่อไปว่า เรารักพระเจ้ามากขนาดไหน ดังนั้นเราต้องรักพระเจ้าเหมือนที่พระเจ้ารักเรา เมื่อเรามั่นใจว่าเรารักพระเจ้าจริงๆ เราไม่ต้องกลัวว่าพระเจ้าจะทอดทิ้งเรา พระเจ้าสัญญากับคนอิสราเอลว่าพระองค์จะอยู่ด้วยกับเขา พระองค์จะไม่ทอดทิ้งเขา (ยชว.1:1-9) พี่น้องที่รักเราเป็นลูกของพระเจ้า พระเยซูตายเพื่อเรา เราเป็นยิ่งกว่าคนอิสราเอลที่กบฏอยู่เนืองนิตย์ ในพระเจ้าไม่มีความกลัว ให้เราอยู่ในพระเจ้าตลอดเวลา
     3 ศัตรู (นหม.4:11, 13, 16-23)
ศัตรูที่อยู่รอบไม่ว่าจะเป็นสันบาลลัท โทบีอาห์ อัสโดด ที่รายล้อมอิสราเอลอยู่รอบเยรูซาเล็ม ทั้งถากถาง เยอะเย้ย ดูถูกดูแคลน รวมทั้งขู่ฆ่าเอาชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า (นหม.4:11) ตลอดเวลาเกือบ 2 เดือน สิ่งเหล่านี้บั่นทอนจิตใจได้เป็นอย่างดี นี่ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไปคงทิ้งไปแล้ว แต่เพราะเป็นการทรงเรียกของพระเจ้าทำให้เนหะมีย์สามารถเอาชนะศัตรูได้ เราเห็นกำแพงเยรูซาเล็มซ่อมเสร็จภายในเวลา 52 วันเท่านั้น เนหะมีย์สามารถเอาชนะได้อย่างไร 3 ประการ
        3.1 ปิดจุดอ่อน (นหม.4:13)
เนหะมีย์ป้องกันโดยการปิดจุดอ่อนให้หมด เนหะมีย์มองดูว่าตรงไหนเป็นจุดอ่อนที่จะทำให้ถูกโจมตีได้ เนหะมีย์ปิด เราคนไปใส่ หาทางป้องกันล่วงหน้า พี่น้องที่รัก เราต้องดูว่าอะไรเป็นจะอ่อนในชีวิตของเราที่มารซาตานจะใช้เป็นช่องทางโจมตีเรา หรือทำร้ายเรา ถ้าจุดอ่อนของเราเป็นเรื่องการเงิน เราก็ต้องระมัดระวัง ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเงิน ถ้าจุดอ่อนของเราเป็นเรื่องเพศ เราก็ต้องระมัดระวังไม่เปิดช่องไม่อยู่สองต่อสองกับเพศตรงข้าม มองหาให้เจอว่าจุดอ่อนของเราคืออะไร คริสตจักรก็เช่นกันก็ต้องมองดูว่าอะไรเป็นจุดอ่อน ถ้าการประกาศเป็นจุดอ่อนเราก็ปิดโดยการจัดประกาศ พาพี่น้องออกไปประกาศ ถ้าจุดอ่อนเป็นเรื่องการเลี้ยงดูเราก็ปิดด้วยการลงไปเลี้ยงดู หน้าที่เราคือต้องหาให้พบว่าอะไรคือจุดอ่อน
        3.2 สร้างภาระใจ (นหม.4:13)
ไม่เพียงแต่ปิดจุดอ่อน เนหะมีย์ยังสร้างภาระใจให้กับทุกคน โดยมองดูว่าใครมีภาระใจเรื่องอะไรก็เอาคนไปใส่ไว้ตามนั้น หรือหนุนใจให้เกิดภาระใจเกิดขึ้น  เราต้องดูว่าเรามีภาระใจเกี่ยวกับเรื่องอะไร เราต้องมองดูลูกแกะของเราว่าเค้ามีภาระใจเกี่ยวกับเรื่องอะไร ก็หนุนใจให้เค้าทำตามภาระใจ แต่ถ้าหากลูกแกะของเรายังไม่มีภาระใจเราก็สร้างภาระใจให้กับเค้า
        3.3 ร่วมมือร่วมใจ (นหม.4:16-23)
เนหะมีย์ให้ทุกคนร่วมมือร่วมใจกันทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง ทำให้งานคืบหน้าไปมาก คนก็เกิดกำลังใจขึ้นอย่างมาก คนต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดี บางคนเป็นยาม บางคนมือข้างหนึ่งถืออาวุธมืออีกข้างหนึ่งก็ทำงาน บางคนกลางวันทำงานกลางคืนเป็นยาม บางคนไม่ได้กลับบ้านในเวลากลางคืน เนหะมีย์บอกว่า คนที่อยู่กับเนหะมีย์ไม่มีใครได้เปลี่ยนเสื้อผ้า แสดงว่าทุกคนร่วมมือร่วมใจกันอย่างแท้จริง พี่น้องที่รักถ้าทุกคนร่วมมือร่วมใจกันประกาศ ติดตามผล เลี้ยงดู ผมเชื่อว่างานของพระเจ้าจะเจริญก้าวหน้าไปอย่างมาก ถ้าเราอยากเห็นอะไรเกิดขึ้นในคริสตจักรเราจะต้องให้ทุกคนมีส่วนร่วม ไม่เพียงแต่ร่วมมือเท่านั้นแต่ต้องร่วมใจด้วย

ขอพระเจ้าอวยพรครับ
อ.สวัสดิ์ พันชนะ

คำทักทายจากศิษยาภิบาล 17-10-2010

     สวัสดีครับพี่น้องที่รักและแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน คริสตจักรแห่งสันติภาพรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสได้ต้อนรับทุกท่านในสัปดาห์นี้ขอพระคุณ ความรัก สันติสุข จากองค์พระผู้เป็นเจ้าบริบูรณ์ในชีวิตของพี่น้องและแขกผู้มีเกียรติครับ

     ขอต้อนรับพี่น้องทุกท่านสู่การสัมมนาเชิงวิชาการพระคัมภีร์เรื่องอนาคตโลก ในวันนี้ครับ ผมเชื่อว่าวันนี้พวกเราทุกคนรวมทั้งผมด้วยจะได้รับพระพรอย่างเต็มล้นในชีวิต เราจะเข้าใจแผนการและน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้น เราจะได้รับรู้กลยุทธ์ที่มารซาตานใช้มาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันนี้มันเปลี่ยนแปลงรู้แบบไปทางไหนแล้วเพื่อเราจะรู้ทันมันและไม่ตกเป็นเหยื่อของมัน หรือตกเป็นเครื่องมือของมัน เราจะรู้วิธีป้องกันและเอาชนะมันได้ วันนี้พี่น้องทุกคนพร้อมแล้วนะครับ

     ผมขอหนุนใจพี่น้องทุกท่านให้ให้ร่วมใจกันอดอาหารอธิษฐาน เพื่อขอพระพรจากพระเจ้าให้กับประเทศไทย คริสตจักรในประเทศไทย และชีวิตของเราแต่ละคน ตลอด 40 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลา ถึง 9 พฤศจิกา นี้ ครับ พี่น้องสามารถ Download บทเรียนได้จาก www.churchofpeace2010.org หรือสอบถามจากพี่เลี้ยงหรือหัวหน้าแคร์ของท่านได้ครับ

     ขอให้พี่น้องร่วมใจกันอธิษฐานเผื่อที่ประชุมแห่งใหม่ของเราต่อไปนะครับจนกว่าพระเจ้าจะประทานให้กับเราตามที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้

     ขอให้พี่น้องและแขกผู้มีเกียรติดูแลสุขภาพให้ดีครับช่วงนี้อยู่ในช่วงอากาศเปลี่ยน เป็นช่วงที่จะเข้าสู่ปลายฝนต้นหนาว ระวังไม่ให้เป็นไข้หรือเป็นหวัดนะครับและขอพระเจ้าสถิตอยู่กับพี่น้องและแขกผู้มีเกียรติทุกท่านตลอดสัปดาห์นี้


ขอพระเจ้าอวยพรครับ

อ.สวัสดิ์ พันชนะ
ศิษยาภิบาลคริสตจักรแห่งสันติภาพ
17-10-2010

15 ตุลาคม 2553

ทำไมพระเยซูถึงต้องสร้างสาวก

ตลอดระยะเวลา 3 ปีครึ่ง ที่พระเยซู ทำพระราชกิจของพระบิดาในโลกนี้ สิ่งที่พระเยซูทำ หรือให้เวลามากที่สุด ไม่ใช่การเทศนา ไม่ใช่การรักษาโรค ไม่ใช่การทำหมายสำคัญการอัศจรรย์ แต่ พระเยซูสร้างสาวก
พระเยซูให้เวลากับการสร้างสาวกของพระองค์มากกว่าสิ่งใดๆ พระองค์พาสาวกของพระองค์ไปตามที่ต่างๆ พระองค์สอนด้วยถ้อยคำของพระองค์ สอนด้วยการทำเป็นตัวอย่าง สอนด้วยการทำหมายสำคัญการอัศจรรย์
เราพบกว่าข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ แพร่ขยายมาจนถึงปัจจุบันนี้ได้ก็เพราะสาวกของพระองค์ ที่พระองค์ทรงสร้าง ที่พระองค์ทรงสอน
พระเยซูมองการณ์ไกล พระองค์ทรงสั่งสาวกของพระองค์ ให้ออกไปสั่งสอน และสร้างสาวกต่อไปอีก (มธ.28:19-20) เพื่อทำให้ข่าวประเสริฐของพระองค์แพร่ออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง

ทำไมหรือ ก็เพราะว่า
1 พระเยซู เห็นความสำคัญของการสร้างสาวก
2 พระเยซู จะไม่อยู่ในโลกนี้นานในสภาพความเป็นมนุษย์
3 พระเยซู ให้เราเป็นตัวแทนของพระองค์ในโลกนี้

ปริศนาคำพยากรณ์


ปริศนาคำพยากรณ์ที่ถูกจารึกไว้ นับตั้งแต่ที่ยอห์นได้รับนิมิตจดบันทึกเป็นหนังสือวิวรณ์กำลังถูกคลี่ คลายออกและมองเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เราซึ่งอยู่ในปัจจุบันสามารถตีความ และถอดรหัสความหมายอันล้ำลึกจากพระคัมภีร์ ดังพระธรรม ลูกา 8:10 ที่กล่าวว่า..

"..ข้อความลึกลับแห่งแผ่นดินของพระเจ้าทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่สำหรับคนอื่นนั้นได้ให้เป็นคำอุปมา เพื่อเมื่อเขาดูก็ไม่เห็น และเมื่อเขาได้ยินก็ไม่เข้าใจ .."

หากท่านมิใช่คนอื่น แต่เป็นคนของพระเจ้า และต้องการที่จะรู้ถึงข้อความลึกลับ เช่น

..บน หน้าผากของนางมีชื่อที่เป็นความลึกลับเขียนไว้ว่า "บาบิโลนมหานคร แม่ของหญิงแพศยาทั้งหลาย และแม่ของบรรดาสิ่งน่าสะอิดสะเอียนแห่งแผ่นดินโลก.." วิวรณ์ 17:5

ซึ่ง เล็งถึงการกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้งของนครคนบาปบาบิโลน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของรัฐบาลโลกที่จะบังคับให้ผู้คนรับเครื่องหมายของมัน เพื่อการค้าขาย..

ไม่ต้องรอไปเรียนปริญญาโท สามารถเรียนได้ที่นี่แล้ว..

สนใจเข้าร่วมสัมมนา โทร. 08-9117-0770
ค่าลงทะเบียนท่านละ 70 บาท (รวมเอกสาร ชา กาแฟ)

13 ตุลาคม 2553

อนาคตโลก

สวัสดีครับ

คริสตจักรแห่งสันติภาพ จะจัดสัมนาเชิงวิชาการเรื่องอนาคตโลก ในวันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 09.30-16.30 น ค่าลงทะเบียนท่านละ 70 บาท (รวมหนังสือคู่มือ ชา กาแฟ) จำนวนจำกัด

...มันยังได้บังคับคนทั้งปวง ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย คนมั่งมี และคนยากจน ไทและทาสให้รับเครื่องหมายไว้ที่มือขวาหรือที่หน้าผากของเขา เพื่อไม่ให้ผู้ใดทำการซื้อขายได้ นอกจากผู้ที่มีเครื่องหมายนั้น...       วิวรณ์ 13:16-17


เล็งถึงรัฐบาลโลก ผู้ควบคุมการซื้อขายของโลก
...ด้วยว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้ทำนายเทียมเท็จหลายคนเกิดขึ้นทำหมายสำคัญอันใหญ่และการมหัศจรรย์ล่อลวงแม้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงถ้าเป็นได้... มัทธิว 24:24

เล็งถึงสมาคมลับ และลัทธิเทียมเท็จ ที่ล่อลวงคนของพระเจ้าให้หลงด้วยสิ่งต่างๆ

...ผู้กีดกั้นขัดขวางและยกตัวขึ้นต่อสู้อะไรๆที่ได้ชื่อว่าพระหรืออะไรๆที่เขาไหว้นมัสการนั้น แล้วมันก็นั่งในพระวิหารของพระเจ้า ประกาศตัวว่าเป็นพระเจ้า... 2 เธสะโลนิกา 2:4

เล็งถึงจำมีการสร้างพระวิหารหลังต่อไป

เรื่องราวเหล่านี้ค่อยๆได้รับการเปิดเผยให้เรารู้ได้

ข้อมูลข่าวสารเรื่องลึกลับ ศาสนศาสตร์ การเชื่อมโยงด้วยหลักการที่เข้าใจได้

...ข้อความล้ำลึกซึ่งซ่อนเร็นอยู่หลายยุคและหลายชั่วอายุนั้น บัดนี้ได้ทรงโปรดให้เป็นที่ประจักษ์แก่ธรรมิกชนของพระองค์แล้ว... โคโลสี 1:26

สิ่งเหล่านี้ท่านจะได้ศึกษาและเข้าใจความจริง เพื่อท่านจะไม่ตกเป็นทาสของมัน
พบกันที่คริสตจักรแห่งสันติภาพ (โรงเรียนบางกะปิ ตรงข้ามนิด้า)

วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคมนี้
เวลา 09.00-16.30 น
สำรองที่นั่งได้ที่ อาจารย์สวัสดิ์ พันชนะ 08-9117 0770

สัมนาเชิงวิชาการเรื่อง "อนาคตโลก"

สวัสดีครับ

คริสตจักรแห่งสันติภาพ จะจัดสัมนาเชิงวิชาการเรื่อง "อนาคตโลก" ในวันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 09.30-16.30 น ค่าลงทะเบียนท่านละ 70 บาท (รวมหนังสือคู่มือ ชา กาแฟ) จำนวนจำกัด
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อาจารย์สวัสดิ์ พันชนะ 089-117 0770