28 มกราคม 2554

พระเยซูผู้นำสู่การคืนดี


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม 2011

พระธรรม โคโลสี 1:19-23

อาจารย์เปาโลได้บอกว่าสิ่งสารพัดกลับคืนดีกับพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระองค์เป็นผู้นำการคืนดีมาสู่คนหมดโลกนี้ ถ้าไม่มีพระเยซูคริสต์ก็ไม่มีการคืนดี ถ้าไม่มีไม้กางเขนก็ไม่มีการคืนดีที่แท้จริง มนุษย์ต้องการการช่วยเหลือจากพระเจ้า เพราะว่ามนุษย์เป็นคนบาป ตั้งแต่มนุษย์ล้มลงในความบาป ทำให้มนุษย์เสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า แต่เพราะความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์ ทำให้พระเยซูต้องมาที่กางเขนเพื่อนำมนุษย์ทุกคนกลับมาคืนดีกับพระเจ้าด้วยโลหิตแห่งกางเขน พระเยซูจึงเป็นผู้นำสู่การคืนดีกับพระเจ้า
1. เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า (คส.1:19-23)
เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าตั้งแต่เริ่มแรกที่จะนำมนุษย์กลับมาคืนดีกับพระเจ้า เป็นพันธกิจที่พระองค์ทรงริเริ่มพันธกิจนี้ด้วยพระองค์เอง
1.1 ผ่านทางพระเยซูคริสต์ (คส.1:19-20)
พระเยซูเป็นผู้เริ่มต้นพันธกิจแห่งการคืนดี เป็นงานของพระเจ้า เนื่องจากมนุษย์ในสายตาของพระเจ้าไม่มีใครทำดีเลย (สดด.14:1-3) มนุษย์เจิ่นไปจากทางของพระเจ้า พระองค์แสวงหามนุษย์สักคนหนึ่งที่ต้องการพระองค์ (2คร.5:18) มนุษย์ต้องได้รับโทษ (รม.6:23) พระเยซูทรงรวบรวมทุกอย่างไว้ (อฟ.1:10) พระเยซูเป็นสะพานนำเรากลับมาคืนดีกับพระเจ้า ให้เราเดินข้ามไป
1.2 ผ่านทางไม้กางเขน (คส.1:20-22)
โดยกางเขนนั้นทำให้คนบาปได้รับการยกโทษบาป โดยการเขนนั้นพระโลหิตได้หลั่งออกเพื่อชำระบาปของเราทั้งหลาย การไม่เชื่อฟังของอาดัมกับเอวา ทำให้เกิดการแช่งสาป (ปฐก.3:17-18) แต่พระเยซูมาเพื่อประโยชน์แก่เราทั้งหลาย พระองค์ไม่มาหาประโยชน์สำหรับพระองค์ เราให้เห็นแก่ประโยชน์ของคน (ฟป.2:4) ที่กางเขนทำให้เราได้กลับมาคืนดีกับพระเจ้า (รม.5:10) ไม้กางเขนนำเราไปสู่ความสว่าง คนจะพินาศถือว่าเรื่องกางเขนเป็นเรื่องโง่ๆ (1คร.1:18) แต่อาจารย์เปาโลบอกว่าท่านจะไม่พูดเรื่องใดๆนอกจากเรื่องพระเยซูที่กางเขน (1คร.2:2) พระเจ้านำเราสู่การคืนดีผ่านทางไม้กางเขนของพระองค์
2. เป็นเป้าหมายสำคัญของพระจ้า (คส.1:22)
เป้าหมายสูงสุดที่พระเยซูคริสต์มาเกิดในโลกนี้ก็เพื่อนำเรากลับมาคืนดีกับพระเจ้า เราจะเชื่อพระเจ้าหรือว่าเชื่อมาร ทำตามใจตัวเองก็ยอมเป็นทาสของมาร ยอมทำตามพระเจ้าเราก็เป็นของพระเจ้า ถ้าเราเลือกพระเจ้าเราต้องเลิกจากบาป (อฟ.2:3) คนที่ห่างไกลพระเจ้าใจของเขาจะแข็งกระด้าง (อฟ.4:18-19) เป้าหมายของพระเจ้าทำให้เราเป็นผู้บริสุทธิ์ พระเจ้าได้ทรงเลือกเราเอาไว้แล้ว (อฟ.1:4) นี่คือเป้าหมายสูงสุดของพระเจ้า
3. เป็นหน้าที่ของเราต้องรักษาการคืนดีไว้ (คส.1:23)
การจะรักษาการคืนดีเอาไว้ได้จะต้องรักษาความเชื่อในพระเยซูเอาไว้ ความเชื่อนำมาซึ่งการคืนดี ความเชื่อนำมาซึ่งความรอด ความรอดทำให้เกิดความชื่นชมยินดี เป็นความปีติยินดีอย่างเหลือล้น ก่อให้เกิดศักดิ์ศรีและเกียรติ (1ปต.1:6-9) เราต้องอดทนรอคอย (1คร.1:8) โยชูวามีความมั่นคงในการติดตามพระเจ้า (ยชว.14:10-11) อย่าเป็นเหมือนยูดาส (กจ.1:16-17) อย่าเป็นเหมือนเดมาส (2ทธ.4:10) อย่าเป็นเหมือนดิโอเตรเฟส (3ยน.9) ศัตรูของการคืน ความบาป การรักโลก แต่จงรักพระเจ้าอย่างไม่มีเงื่อนไข (อ่านเพิ่มเติมได้ใน www.churchofpeace2010.org)

พระเจ้าอวยพรครับ

21 มกราคม 2554

พระคริสต์ทรงเป็นหนึ่ง


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม 2011

พระธรรม โคโลสี 1:15-18

         อาจารย์เปาโลได้กล่าวยกย่องพระเยซูไว้ในพระธรรมโคโลสีอย่างมาก เนื่องจากอาจารย์เปาโลมีประสบการณ์กับพระเยซูโดยตรง และรู้ถึงความยิ่งใหญ่พระเยซู ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียว พระองค์ทรงเป็นเอกเป็นหนึ่งท่ามกลางสรรพสิ่งในโลกนี้ เราสามารถเห็นได้จากพระคัมภีร์ตอนนี้ 4 ประการด้วยกันคือ
         1 ทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า (คส.1:15)
          พระองค์ทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า คือมีลักษณะเหมือนพระเจ้าทุกประการ เป็นดั่งพิมพ์เดียวกัน เหมือนกันทุกอย่าง เหมือนกับเราที่ถูกสร้างมาโดยพระฉายของพระเจ้า (ปฐก.1:26) พระทรงสะท้อนพระสิริของพระเจ้า (ฮบ.1:3) สำแดงพระเจ้า (ยน.1:18) เพราะว่าเราทำบาป (รม.3:23) เราต้องกลับมาหาพระเจ้าและดำเนินชีวิตใกล้ชิดพระเจ้าเหมือนโมเสส (อพย.34:29)
         2 ทรงเป็นบุตรหัวปี (คส.1:15-17)
         พระเยซูทรงเป็นบุตรหัวปีเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง การเป็นบุตรหัวปี หมายถึงการได้รับสิทธิพิเศษ ซึ่งหมายถึงการเจิมที่อยู่ในพระเยซู ได้รับสิทธิเป็นสองเท่า (ฉธบ.21:17) สิทธิบุตรหัวปีในตอนนี้มี 2 ประการ
         2.1 อยู่เหนือการทรงสร้าง (คส.1:16)
         สรรพสิ่งถูกสร้างในพระองค์ โดยพระองค์ และเพื่อพระองค์ สวรรค์ไม่ได้สร้างพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงสร้างสวรรค์ มนุษย์ไม่ได้สร้างพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์
         2.2 ดำรงอยู่มาก่อน (คส.1:17)
         พระเยซูดำรงอยู่มาก่อนสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง พระองค์อยู่มาก่อนสร้างโลก และสรรพสิ่งในโลกพระองค์ทรงดำรงอยู่มากับพระบิดา
         3 ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร (คส.1:18)
         พระเยซูทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร คือเป็นศูนย์กลางของคริสตจักร พระองค์ทรงมีสิทธิอำนาจสูงสุดเหนือคริสตจักร พระองค์ทรงครอบครอง ปกครอง หรือปกคลุมคริสตจักรของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นประมุขเหนือสรรพสิ่ง (อฟ.1:22) ความตายไม่มีชัยเหนือคริสตจักร (มธ.16:18)
        4 ทรงฟื้นขึ้นจากความตาย (คส.1:18)
        พระเยซูเป็นคนแรกที่ฟื้นขึ้นจากความตายแล้วไม่ตายอีกเลย ก่อนหน้านั้นก็มีคนฟื้นขึ้นจากความตาย เช่นลาซารัส ที่พระเยซูทรงทำให้ฟื้นขึ้น แต่ในที่สุดลาซารัสก็ตายอีก แต่พระเยซูทรงฟื้นขึ้นจากความตายและยังทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ทรงเป็นคนแรก  พลังแห่งความตายจะมีชัยก็หามิได้ (มธ.16:18)
       ดังนั้นวันนี้เราควรเป็นคนที่ไว้วางใจพระเจ้า มอบทุกสิ่งในชีวิตของเราให้กับพระเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงควบคุมทุกสิ่งไว้ เราต้องให้พระเจ้าเขามาเป็นเอกเป็นหนึ่งในชีวิตของเราอย่างแท้จริง เราควรเปิดใจออกให้พระเจ้าเข้ามาในใจของเราครอบครองอยู่เหนือชีวิตของเรา (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.churchofpeace2010.org)

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

20 มกราคม 2554

ชีวิตมหัศจรรย์

เรียนเชิญพี่น้องคริสตชนทุกท่าน ทุกคณะ ทุกสังกัด ทุกนิกาย ไปร่วมรับพระพรและรับการเปลี่ยนแปลงชีวิต ได้ในงาน ชีวิตมหัศจรรย์ จัดโดยคณะกรรมการชีวิตมหัศจรรย์ ภายใต้คณะกรรมการประกาศและการเพิ่มพูนคริสตจักร (กปพ.) ที่ลานอเนกประสงค์ การกีฬาแห่งประเทศไทย สนามกีฬาหัวหมาก ตั้งแต่เวลา 18.00-22.00 น วันที่ 21-23 มกราคมนี้ พบกับหลากหลายกิจกรรม นมัสการพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ รับการสัมผัสแตะต้องจากพระเจ้า หลุดพ้นจากพันธนาการ สัมผัสกับการอัศจรรย์ของพระเจ้าผ่านทางความเชื่อ

ยนห์น 11:40 พระเยซูตรัสกับเธอว่า   “เราบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า   ถ้าเจ้าเชื่อเจ้าก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า”  

ถ้าวันนี้เราเชื่อเราจะไ้ด้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
ถ้าวันนี้เราเชื่อว่าพระสัญญาของพระเจ้าเป็นจริง เราจะได้เห็นฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า
ถ้าวันนี้เราเชื่อว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ เราจะได้เห็นการทรงสถิตของพระเจ้าท่ามกลางคนทั้งหลาย


จงไปด้วยความเชื่อในพระเจ้า จงออกไปด้วยความเชื่อ อย่าได้สงสัย จงออกไปประกาศด้วยความเชื่อ จงพาคนเจ็บคนป่วยไปด้วยความเชื่อ

ท่านที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ผมขอเชิญชวนท่านให้ไปงาน ชีวิตมหัศจรรย์ ไปตั้งแต่วันเเรกแล้วท่านจะไม่ผิดหวัง

ท่านที่อยากมีชีวิตที่เติบโตในพระเจ้า ท่านที่อยากรับใช้พระเจ้าอย่างเกิดผล ไม่ควรพลาด เพราะว่าท่านจะไ้ด้รับการเสริมสร้างผ่านงาน ชีวิตมหัศจรรย์ นี้

ท่านที่อยากเห็นคริสตจักรของท่านเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดด จงหนุนใจสมาชิกในคริสตจักรของท่าน ให้พาผู้สนใจ พาคนเจ็บคนป่วยไปงาน ชีวิตมหัศจรรย์ นี้ให้มากที่สุด เมื่อเสร็จจากงาน ชีวิตมหัศจรรย์ นี้แล้วท่านจะพบว่าคริสตจักรของท่านมีการเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดด

พระเยซูยังทรงเหมือนเดิม
ฮีบรู 13:8 ผู้เขียนพระธรรมฮีบรู ได้บอกว่า "พระเยซูคริสต์ยังทรงเหมือนเดิมในเวลาวานนี้   และเวลาวันนี้   และต่อๆไปเป็นนิจกาล"


พระองค์ทรงเป็นอย่างไรในอดีต ก็ยังเป็นอย่างนั้นในปัจจุบัน
พระองค์ทรงทำการอัศจรรย์ในอดีตอย่างไร พระองค์ก็ยังทรงทำอย่างนั้นในปัจจุบันด้วย
ไม่ว่าวันเวลาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร พระเจ้ายังคงเหมือนเดิม ยังรักเราเหมือนเดิม
ยังทรงฤทธิ์อำนาจเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเเปลง

ผมจึงขอเชิญชวนทุกท่านที่ได้อ่านข้อความใน Blog นี้ ไปร่วมงานนี้ด้วยกันครับ

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

17 มกราคม 2554

ขอบคุณพระเจ้า

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม ที่ผ่านมา พี่น้องสมาชิกกลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว หลังจากที่บางท่านกลับไปเยี่ยมบ้าน บางท่านก็ไปพักผ่อนต้นปี ขอบคุณพระเจ้าสัปดาห์นี้อบอุ่นอย่างมากท่ามกลางอากาศที่เย็นสบาย หลายท่านที่่ไม่ได้เห็นกันหลายสัปดาห์ก็ได้เห็นกันในสัปดาห์นี้

วันนี้มีพี่น้องจากคริสตจักรอันติโอเกียลาดพร้าวมาเยี่ยมและให้กำลังใจพวกเราด้วย และยังมาหนุนใจพวกเราด้วยคำพยานที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า ทำให้หลายคนต้องกลับใจใหม่ ไว้วางใจและพึ่งพาในพระเจ้ามากขึ้น เพราะคำพยานของพี่น้องท่านนี้ได้ชี้ให้เราเห็นความรักและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่ทรงช่วยคนที่กำลังล้มละลายให้กลับมามีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนคนปกติทั่วไป อีกทั้งยังช่วยรักษาอาการป่วยของพี่น้องท่านนี้ให้หายอย่างอัศจรรย์ ซึ่งเจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้เลยว่าหายจากอาการป่วยตั้งแต่เมื่อไหร่ พี่น้องท่านนี้ชื่อคุณวิลาวรรณ (ขออภัยถ้าเขียนผิด)

ขอแสดงความยินดีกับน้องแอมและคุณประชา ทั้ง 2 ท่านได้ตัดสินใจตอนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้เจ้าในชีวิต ขอบคุณพระเจ้าแผ่นดินของพระเจ้าสูงขึ้นอีกระดับหนึ่งแล้ว และอาณาจักรของมารซาตานกำลังถูกทำลายลงเรื่อยๆ ขอพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับทั้งน้องแอมและคุณประชา ขอให้ทั้ง 2 ท่าน มีประสบการณ์กับพระเจ้าตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักกับพระองค์ ขอพระองค์ทรงปกป้องทั้ง 2 ท่านและประทานชัยชนะอย่างมั่นคงตลอดไปครับ

ขอบคุณพระเจ้าและขอบคุณพี่เอ๋กับพี่เปี๊ยก พี่น้องที่น่ารักได้ทำข้าวเหนียวคลุกงามาให้ผมทาน อร่อยมากไม่ได้ทานมานานมากแล้วจนลืมไปแล้วว่ารสชาดเป็นอย่างไร ทำให้วันนี้ได้กลับมาลิ้มรสอันหอมอร่อยของข้าวคลุกงาอีกครั้งครับ พี่เอ๋กับพี่เปี๊ยกเป็นครอบครััวที่น่ารักมาและรักพระเจ้าทั้งครอบครัว ขอพระเจ้าอวยพรให้มีบริบูรณ์ในทุกสิ่งครับ

13 มกราคม 2554

ผลของการหยั่งรากลึกในพระคริสต์


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม 2011

พระธรรม โคโลสี 1:9-14

อาจารย์เปาโลได้ส่งเอปาฟรัสพี่น้องที่ร่วมรับใช้กับอาจารย์เปาโล ไปอยู่กับพี่น้องที่โคโลสี เพื่อช่วยเหลือพี่น้องที่นั่นให้หยั่งรากลึกในพระคริสต์ ซึ่งเอปาฟรัส ก็ได้ทำหน้าที่อย่างดีสมกับที่อาจารย์เปาโลไว้วางใจ จนทำให้อาจารย์เปาโลเกิดความชื่นใจอย่างมากเมื่อเห็นพี่น้องที่โคโลสีหยั่งรากลึกลงในพระคริสต์ ซึ่งแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจน ดังนี้

1 รู้น้ำพระทัยพระเจ้า (คส.1:9)
หมายถึงการดำเนินชีวิตที่อยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้า รู้ว่าพระเจ้ามีพระประสงค์อย่างไร รู้ว่าพระเจ้าต้องการอย่างไร รู้ว่าพระเจ้าต้องการให้ไปทางไหน อาจารย์เปาโลบอกว่าการที่เราจะรู้น้ำพระทัยพระเจ้าได้เราจะต้องถวายชีวิตของเราให้กับพระเจ้า (รม.12:1-2) เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่ให้เรามารู้จักและเชื่อวางใจในพระองค์ (อฟ.1:17-18) พระเจ้าจะทรงเปิดเผยน้ำพระทัยของพระองค์ (สดด.119:97-99) เพื่อเราจะได้รู้ว่าอะไรเป็นที่ชอบใจของพระเจ้า ถ้าเราไม่อ่านพระคัมภีร์เราจะไม่รู้และจะดำเนินชีวิตอย่างผิดๆ ถูกๆ ซึ่งจะเกิดผลเสียกับตัวเราเอง (ทต.1:16)

2 เป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า (คส.1:10)
คนที่รู้น้ำพระทัยของพระเจ้า จะทำตามสิ่งที่พระเจ้าต้องการดังนั้นก็จะเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าด้วย ชีวิตของคนๆนั้นก็จะอยู่ในสายตาของพระเจ้าเสมอ พระองค์พร้อมที่จะอวยพรชีวิตของเค้า พระเจ้าจะมอบหมายให้เค้าดูแลงานของพระองค์ และเค้าจะทำอย่างดี เค้าจะทำให้พระเจ้าพอพระทัย เค้าจะดำเนินชีวิตในทางชอบธรรมของพระเจ้า (กจ.19:35) ชีวิตจะมีการเปลี่ยนแปลง (รม.12:2) จะเป็นคนที่ยำเกรงพระเจ้า (คส.3:20)

3 เกิดผลดีทุกอย่าง (คส.1:10)
คนที่หยั่งรากลึกลงในพระคริสต์ สิ่งใดที่เค้าจับต้องจะเกิดผล จนคนทั้งหลายสัมผัสได้ และชีวิตก็จะเกิดผลอยู่เรื่อยๆ ชีวิตเป็นอย่างต้นไม้ที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อยู่เสมอ จะเกิดผลทุกด้าน โดยเฉพาะด้านฝ่ายวิญญาณ เช่น ประกอบด้วยผลพระวิญญาณ 9 ประการ (กท.5:22-23) มากขึ้นเรื่อยๆวันต่อวัน ซึ่งผลพระวิญญาณนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุความเชื่อ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการอ่านพระคัมภีร์มาก พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะสำแดงให้กับเราผ่านทางพระคัมภีร์ที่เราอ่าน เราจึงเกิดการเปลี่ยนแปลง (ยน.15:6) (ยน.15:8) (2ปต.1:8

4 รู้จักพระเจ้ามากขึ้น (คส.1:10)
คนที่หยั่งรากลึกจะทำให้รู้จักพระเจ้ามากขึ้น ชีวิตจะไม่เหมือนเดิม จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น อาจารย์เปาโลต้องการที่จะรู้จักและมีประสบการณ์กับพระเจ้ามากขึ้น (ฟป.3:10) คนที่ไม่หยั่งรากลึกในพระเจ้า พระเจ้าจะทรงปิดบังเอาไว้สำหรับเขา (ดนอ.12:4) เราควรรู้จักพระเจ้าในการทำธุรกิจของเรา เราต้องรู้จักพระเจ้าในชีวิตครอบครัวของเรา ในการเรียนของเรา เพื่อเราจะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์มากขึ้น

5 มีความมั่นคงมากขึ้น (คส.1:11)
มีความมั่นคงในที่นี้หมายถึงมีกำลังฝ่ายวิญญาณ หรือมีความเข้มแข็ง อาจารย์เปาโลบอกว่าคนที่มีความมั่นคงในพระเจ้า จะมีความทรหด และมีความอดทนนานจนถึงที่สุด รอคอยจนกว่าพระเจ้าจะเสด็จกลับมา หรือเหมือนชาวนารอผลจากน้ำมือของพวกเค้า (ยก.5:7-8) ดังนั้นคนที่หยั่งรากลึกจึงเป็นคนที่มีความหนักแน่นมั่นคง ไม่หวั่นไหวง่ายๆ   

6 มีใจขอบพระคุณเสมอ (คส.1:12-14)
คนที่หยั่งรากลึกจะเป็นคนที่มีมุมมองที่แตกต่างไปจากคนอื่น คือมองแบบพระเจ้ามอง มองด้วยใจขอบพระคุณพระเจ้าเสมอ อาจารย์เปาโลบอกว่า 2 สิ่งนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เราขอบคุณพระเจ้าได้อย่างไม่หยุดยั้ง สิ่งแรกคือ ช่วยเราให้พ้นจากอำนาจของวิญญาณชั่ว และ สิ่งที่ 2 คือ พระองค์ทรงไถ่และยกโทษบาปเรา พระองค์ทรงยกโทษให้อภัยเราจนหมดสิ้นโดยทางพระเยซูที่กางเขน (อฟ.5:20) การแสดงออกถึงการขอบคุณพระเจ้า ทำได้หลายอย่าง เช่น เล่าคำพยานให้คนอื่นฟัง ถวายอนุสรณ์พระพร เป็นต้น (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.churchofpeace2010.org)

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

08 มกราคม 2554

ช่วยให้หยั่งรากลึก

สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม 2011

พระธรรม โคโลสี 1:7-8

             อาจารย์เปาโลบอกว่าพี่น้องที่โคโลสีมีชีวิตที่น่าชื่นใจ และเมื่อนึกถึงทีไรก็ทำให้อดขอบคุณพระเจ้าไม่ได้ สาเหตุที่ชีวิตของพี่น้องที่โคโลสีเป็นที่น่าชื่นใจ ก็เพราะว่าชีวิตของพวกเค้าหยั่งรากลึกลงในพระคริสต์ สิ่งที่ทำให้ชีวิตของพี่น้องที่โคโลสีหยั่งรากลึก นอกจากจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เอปาฟรัส ที่ได้ไปช่วยพี่น้องที่โคโลสีมีชีวิตที่หยั่งรากลึก เอปาฟรัสมีส่วนอย่างมากที่ทำให้พี่น้องที่โคโลสีมีชีวิตที่น่าชื่นใจเช่นนี้ เอปาฟรัสทำอะไรบ้างที่โคโลสีจึงทำให้โคโลสีเป็นเช่นนี้ เราจะได้เห็นสิ่งที่เอปาฟรัสทำดังนี้

1 สอนและช่วยเหลือ (คส.1:7)
             เอปาฟรัส ได้มาอยู่กับพี่น้องที่โคโลสี ได้สอนและช่วยให้พี่น้องที่นี่หยั่งรากลึกลงในพระคริสต์อย่างมาก เอปาฟรัสได้วางรากฐานที่ดีให้กับโคโลสี โดยวางเอาไว้บนพระวจนะของพระเจ้า เพราะของเอปาฟรัสรู้ดีว่าท่านจะไม่สามารถอยู่กับพี่น้องที่โคโลสีได้ตลอดเวลา เพราะว่าต้องเดินทางไปในที่ต่างๆ แต่ส่งที่จะอยู่กับพี่น้องที่นี้ได้ตลอดเวลาคือพระวจนะของพระเจ้า เอปาฟรัส มีความผูกพันกับพี่น้องที่โคโลสี เพราะว่าได้สอนและตักเตือนให้พี่น้องประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า เอปาฟรัสคาดหวังที่จะเห็นพี่น้องที่โคโลสีเติบโตเป็นผู้ใหญ่และบริบูรณ์ในพระเจ้า (คส.4:12) (อฟ.4:11-12) (กจ.20:35) (กจ.20:19)

2 รับใช้พระเจ้า (คส.1:7)
               เอปาฟรัส ทุ่มเทในการรับใช้อย่างมา จนอาจารย์เปาโลบอกว่า “เขาเป็นผู้เอาใจใส่ปรนนิบัติพระคริสต์เพื่อพวกเราจริงๆ” คือรับใช้สุดจิต สุดใจ ทำอย่างจริงใจไม่เสแสร้ง มีความกระตือรือร้น ตระหนักว่าเจ้านายที่แท้จริงคือพระเจ้าที่กำลังมองดูอยู่ ตระหนักว่าพระเจ้าเป็นเจ้าของเรา เพราะทรงซื้อเรามาด้วยราคาอันแพง (1คร.6:19-20) (อฟ.6:6) (รม.6:16) เราต้องสร้างแบบอย่างในการรับใช้ให้กับแกะ

3 สัตย์ซื่อไว้ใจได้ (คส.1:7)
                เอปาฟรัส ได้รับมอบหมายจากอาจารย์เปาโลให้ไปเยี่ยมพี่น้องที่โคโลสี เพื่อนำจดหมายและความคิดถึงของอาจารย์เปาโลไปสู่พี่น้องที่นั่น เมื่อไปถึงเอปาฟรัส ก็ได้ทำหน้าที่อย่างสัตย์ซื่อ อาจารย์เปาโลบอกว่าเอปาฟรัส เป็นผู้เอาใจใส่ คำว่าเอาใจใส่ในภาษาเดิมหมายถึงเป็นคนที่ไว้วางใจได้ สัตย์ซื่อ ความสัตย์ซื่อและไว้ใจได้ในที่นี้ไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องความรับผิดชอบ เมื่อมอบหมายให้ทำสิ่งใดแล้วไว้ใจได้ ไม่ต้องควบคุม ความว่าไว้ใจได้นี้เป็นคำเดียวกับคำว่า สัตย์ซื่อที่อาจารย์เปาโลใช้กับโอเนสิมัส (คส.4:9) (2ทธ.2:2) (1คร.4:2) (มธ.25:21)

4 เชื่อฟัง (คส.1:8)
                เอปาฟรัสไปอยู่กับพี่น้องที่โคโลสีเพื่อช่วยให้พี่น้องที่นั่นจนมีชีวิตเป็นที่น่าชื่นใจ เพราะว่าเอปาฟรัสเชื่อฟัง อาจารย์เปาโลบอกให้ทำอย่างไรเอปาฟรัสก็ทำอย่างนั้น บอกให้วางรากฐานก็วางรากฐานให้ พาพี่น้องออกไปประกาศ ทำทุกอย่างด้วยความเต็มใจ ยอมเชื่อฟัง ยอมอยู่ภายใต้การปกครองปกคลุมของผู้นำอย่างอาจารย์เปาโล ดังนั้นเราะต้องมีวิญญาณแห่งการเชื่อฟังอย่างเอปาฟรัส และผู้นำก็ต้องเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตเพื่อให้ผู้ตามสามารถที่จะเชื่อฟังได้ สอนก็ต้องสอนอย่างถูกต้องตามหลักการพระคัมภีร์ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองหรือพวกพร้อง แต่เพื่อลูกแกะที่พระเจ้าฝากไว้ในการดูแล เพราะว่าเราต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้า (กจ.20:28) ชีวิตเราจะเป็นพระพรต่อคนอื่นได้เราต้องหยั่งรากลงให้ลึก เพื่อเราจะได้สอนและช่วยคนอื่นได้ ให้เรารับใช้พระเจ้า มีชีวิตที่สัตย์ซื่อไว้ใจได้ และเป็นคนที่มีวิญญาณแห่งการเชื่อฟัง (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.churchofpeace2010.org)

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

03 มกราคม 2554

ขอบคุณพระเจ้า (ต่อ)

พวกเรากลับลงมาจากบ่อเกลือเข้าอำเภอปัว พวกเราใช้เวลาไป 1 ชั่วโมง แต่ตอนขาขึ้นเราใช้เวลาไปเกือบ 3 ชั่วโมงรวมทั้งการลงไปดูสถานที่ต่างๆด้วย พวกเรากลับถึงบ้านของอาจารย์พิเชรษฐ์ก็เย็นพอดี พวกเราจึ่งเรียนเชิญอาจารย์พิเชรษฐ์และครอบครัวไปทานอาหารเย็น เพื่อเป็นการเลี้ยงขอบคุณ

พวกเราได้มีึโอกาสขอบคุณอาจารย์พิเชรษฐ์และครอบครับโดยได้เลี้ยงอาหารค่ำ ลูกๆของอาจารย์น่ารักมาก เป็นลูกสาวทั้งสองคน ในเย็นวันนั้นภรรยาของอาจารย์ได้ถามผมว่าผมคิดอย่างไรกับเรื่องผีและวิญญาณ ผมก็บอกว่าสำหรับผมเเล้วผมเชื่อว่าผีและวิญญาณมีจริง แต่ไม่ใช่วิญญาณของคนที่ตายไปแล้วแต่เป็นเหล่าทูตสวรรค์ที่กบฎต่อพระเจ้าและถูกขับออกจากสวรรค์ มันสามารถทำอะไรได้มากมาย มันสามารถที่จะปรากฎให้เราเห็นเป็นรูปร่างต่างๆ ได้ ผมจึงถามว่ามีอะไรหรือเปล่าครับ ภรรยาของอาจารย์พิเชรษฐ์จึงเล่าให้พวกเราฟังว่า ท่านเห็นเหมือนมีคนเดินอยู่ในบ้านที่เราพักกันเมื่อ 2-3 วันที่ผ่าน ตอนที่ขึ้นมารดน้ำต้นไม้ ความจริงแล้วตั้งแต่มิชชันนารีกลับไปแล้วก็ได้ขึ้นมาทำความสะอาดบ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยเห็นหรือมีอะไรผิดปกติ จนเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนกลางวันของวันนี้เอง (วันอังคารที่ 28 ธันวาคม) ช่วงที่พวกเราไปที่อำเภอปัว ท่านได้ขั้นมาทำความสะอาดและได้มานมัสการที่บ้านหลังนี้กับพี่น้องอีกคนหนึ่ง ปรากฎว่าทุกคนได้กลิ่นหอมของกาแฟรุนแรงมากจนพี่น้องอีกท่านหนึ่งที่ขึ้นมาด้วยกันทนไม่ได้ต้องออกไปอาเจียนนอกบ้าน


ภรรยาของอาจารย์พิเชรษฐ์จึงได้โทรศัพท์ไปปรึกษาและเล่าให้กับพี่น้องที่เป็นผู้รับใช้พระเจ้าคริสตจักรพัฒนาชีวิตแบ๊บติสน่าน (ต้องขออภัยถ้าผิด) คืออาจารย์สายสุด ท่านจึงบอกว่าปล่อยไปอย่างนี้ไม่ได้แล้ว ต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ทั้งหมดจึงตกลงกันว่า จะมานมัสการและอธิษฐานกันที่บ้านหลังนี้ คือบ้านที่พวกเราพักกัน (พวกเราไม่มีใครได้เห็นหรือได้กลิ่นกาแฟ เหมือนอย่างที่ภรรยาของอาจารย์พิเชรษฐ์กับพี่น้องอีกท่านหนึ่งสัมผัสได้เลย พวกเราต่างก็นอนหลับกันอย่างสบายทั้งสองคืน)


หลังจากที่พวกเรารับประทานอาหารกันเสร็จก็เดินทางกลับมาที่บ้านพัก ประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง (เวลาประมาณ 20.30 น) ซึ่งเมื่อมาถึงเราก็พบกับอาจารย์สายสุดกับพี่น้องใืนคริสตจักรพัฒนาชีวิตแบ๊บติสน่านอีกประมาณ 6-7 ท่าน มารอพวกเราอยู่ก่อนแล้ว ทุกคนจึงเข้าไปในบ้าน (หลังที่พวกเราพักกัน) การแนะนำตัว การสนทนาและการแบ่งปันประสบการณ์ในเรื่องเหล่านี้ก็เริ่มต้นขึ้น พวกเราเริ่มนมัสการและอธิษฐานตั้งแต่เวลาประมาณ 3 ทุ่ม จนถึง 5 ทุ่มเศษ

ในคืนนั้นทุกคนไ้ด้พวกเราได้เห็นการทรงสถิตย์ของพระเจ้าท่ามกลางพวกเรา หลายคนที่มาได้แบ่งปันพระพรที่ได้จากการนมัสการและอธิษฐาน มีพี่น้องท่านหนึ่งได้แบ่งปันว่า ก่อนจะเดินทางมาที่นี่ในคืนนี้รู้สึกกลัวอย่างมาก ใจหนึ่งก็ไม่อยากจะมาแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจมา เมื่อมาแล้วรู้สึกว่าได้รับการปลดปล่อย ความกลัวที่เคยมีหายไปจนหมดสิ้น และรู้ว่าพระเจ้าของเราทรงมีชัยชนะเหนือผีวิญญาณชั่วทั้งหมด คืนนั้นกว่าจะแยกย้ายกันกลับบ้านก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว


ขอขอบคุณพระเจ้าอีกครั้งที่พระองค์ทรงนำพวกเรามาที่นี่เพื่อจะได้มีโอกาสหนุนใจกันและกันให้มีความเชื่อมากยิ่งขึ้น ผมเชื่อว่าไม่มีอะไรเป็นเรื่องบังเอิญสำหรับเรา ให้เราไว้วางใจพระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงนำเรา ขอเพียงเราเชื่อฟังและเดินตามการทรงนำของพระเจ้าเท่านั้นก็พอครับ

จะหาโอกาสมาเล่าเรื่องที่พระเจ้าทรงนำพวกเราในการเดินทางทริปนี้อีกภายหลังครับ


ขอพระเจ้าอวยพรครับ


ภาพบรรยากาศต่างๆ ในช่วงที่อยู่ที่จังหวัดน่าน
ระหว่างวันที่ 27-28 ธันวาคม 2010


 อาจารย์พิเชรษฐ์ ที่ผมได้เห็นและรู้จักเป็นครั้งแรก ท่านน่ารักมากครับ
ท่านและภรรยาต้อนรับและดูแลพวกเราอย่างดี

จากซ้ายไปขวา ภรรยาผม คุณแอ (คจ.มหาชล) 
คุณสุกัญญา (ภรรยาอ.พิเชรษฐ์) คุณวิลาวรรณ (คจ.อันติโอเกียลาดพร้าว)

 พี่น้องที่คจ.พัฒนาชีวิตแบ๊บตีสน่าน ทำงานที่ศูนย์แสงเดือน

 บ้านที่พวกเราพักกันขนาด 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 ห้องรับแขก
ตั้งอยู่บนเนินเขา มองเห็นหมู่บ้านข้างล่างอย่างสวยงาม

 บ่อเกลือสินเธาว์ อยู่บนดอยภูคา เป็นบ่อเกลือภูเขาอายุ 800 ปี
มีแห่งเดียวในโลก

 ภาพบรรยากาศด้านล่างเป็นลานกางเต็นท์
ถ่ายจากร้านอาหารบนดอย

 ภาพบรรยากาศในร้านอาหารที่พวกเราทานกัน
ตั้งอยู่บนยอดเขา อาหารอะร่อย ราคาก็ไม่แพงเมื่อเทียบบรรยากาศของร้าน

 อีกมุมหนึ่งของร้าน เป็นมุมกาแฟ บริการตัวเอง ราคาถ้วยละ 25 บาท

 อีกภาพของร้านอาหาร

 ภาพนี้ถ่ายจากบนเขาเป็นจุดชมวิวในตัวเมืองจังหวัดน่าน

 ลูกสาวทั้งสองคนของอาจารย์พิเชรษฐ์ 
น้องแนน กับน้องนา (น้องปรารถนา กับน้องกรุณา) จากซ้ายไปขวา

ภาพบรรยากาศการแบ่งปันก่อนการนมัสการและอธิษฐานร่วมกัน
มีพี่น้องจากคจ.พัฒนาชีวิตแบ๊บตีสน่าน (อ.สายสุด) คจ.บ้านวังตาน (อ.พิเชรษฐ์)
พี่น้องคจ.อันติโอเกียลาดพร้าว80 พี่น้องคจ.มหาชล


ขอบคุณพระเจ้า

เมื่อวันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2010 ผมกับภรรยาพร้อมด้วยพี่น้องอีก 2 ท่าน ได้เดินทางไปจังหวัดพะเยา เพื่อไปเยี่ยมครอบครัวพี่ชายของพี่น้องท่านหนึ่งในทีมที่เดินทางไปด้วยกัน โดยผมขับรถออกจากกรุงเทพฯเวลาประมาณ 9.30 น ความตั้งใจว่าจะแวะตามจังหวัดต่างๆ โดยเริ่มต้นที่จังหวัดน่านซึ่งเป็น 1 ใน 2 จังหวัดของภาคเหนือที่ผมยังไม่เคยไป ระหว่างทางเราก็แวะทานอาหารไปเรื่อยๆ

เมื่อเดินทางมาถึงจังหวัดน่านเวลาประมาณ 18.00 น สิ่งแรกที่ได้สัมผัสเมื่อมาถึงจังหวัดน่านคือความมืดและอากาศที่หนาวเย็น พวกเราก็เริ่มถามคำถามกันว่าคืนนี้พวกเราจะนอนที่ไหนกัน เพราะว่าเราไม่ได้จองที่พักเอาไว้ พวกเราก็เริ่มขับรถตะเวนหาที่พัก แต่เนื่องจากไม่มีใครเคยมาที่จังหวัดน่านเลย เราจึงไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนจึงจอดรถอยู่ที่ปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งหลัง (คิดว่าเป็น) ศาลากลางจังหวัด ผมนึกถึงเพื่อนผู้รับใช้ท่านหนึ่งที่กรุงเทพฯท่านเคยมาที่จังหวัดน่านหลายครั้งแล้วน่าจะรู้จักจังหวัดน่านและพี่น้องที่น่านบ้างว่าอะไรอยูที่ไหน ผมจึงโทรศัพท์ไปหา ท่านก็กรุณาให้เบอร์โทรศัพท์ของผู้รับใช้ท่านหนึ่งชื่ออาจารย์พิเชรษฐ์มา ท่านบอกว่าคนนี้น่าจะช่วยแนะนำผมได้

ผมจึงโทรไปหาปรากฎว่าท่านไม่อยู่ ภรรยาของท่านรับสาย ผมจึงบอกว่าผมขอคำแนะนำเรื่องที่พักหน่อยครับ เนื่องจากผมพึ่งเดินทางมาถึงที่จังหวัดน่านเป็นครั้งแรก คำถามแรกที่ภรรยาของท่านถามผมคือ คุณเป็นคริสเตียนหรือเปล่า ผมตอบว่าผมเป็นคริสเตียนครับ ภรรยาของท่านจึงพูดสวนมาว่า มาพักที่บ้านก็ได้คะ ผมจึ่งตอบกลับไปว่า ผมเกรงใจครับ เดี๋ยวผมหาที่พักกันก่อน เดี๋ยวผมโทรกลับครับผมจึงวางสาย

ขอบคุณพระเจ้าขณะนั้นรถของเราจอดอยู่ห่างจากโรงแรมเทวราชเพียงไม่กี่สิบเมตร แต่เป็นด้านหลังทำให้เรามองไม่เห็นในตอนแรก พวกเราจึงขับรถเข้าไปที่โรงแรมนั้นเพื่อไปติดต่อสอบถามราคาค่าห้องพัก ปรากฎว่าเราต้องถอยออกมา เพราะว่าราคาค่อนข้างสู้ เนื่องจากว่าเป็นโรงแรมชั้นหนึ่งและเป็นโรงแรมไม่กี่โรงแรมที่อยู่ในตัวเมืองของในจังหวัดน่าน ขณะที่เรากำลังหาโรงแรมกันอยู่นั้นอาจารย์พิเชรษฐ์ ก็โทรกลับมา ท่านก็บอกว่าให้พวกเราไปพักที่บ้านของท่าน ผมก็ตอบกลับไปเช่นเดิมว่าผมเกรงใจ ผมขอหาที่พักกันก่อนครับ เดี๋ยวผมโทรกลับ

พวกเราตะเวนหาที่พักกันหลายที่หลายแห่ง ที่พักบางที่ที่เราจะพักได้ปรากฎว่าเต็ม เช่นที่ถูฟ้าเพลส สะอาด น่าพักมาก ราคาก็ไม่แพง 450 บาทต่อคืนเท่านั้น มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบครัน ตั้งอยู่บนถนนเทวราชนั่นเอง ขณะที่พวกเรากำลังตะเวนหากันอยู่อาจารย์พิเชรษฐ์ก็โทรหาผมอีกหลายครั้ง จนในที่สุดพวกเราก็มาพบกับเกสต์เฮ้าส์หลังหนึ่งมีคนบอกว่าเจ้าของเป็นฝรั่งถูกและดี เมื่อผมขับรถมาจอดหน้าประตูทางเข้าผมยังมองไม่ออกเลยว่านี่คือประตูทางเข้า ภรรยาของผมกับพี่้น้องอีก 2 ท่านก็เข้าไปดู ผมยังไม่ทันที่จะขยับรถเพื่อหลบทางให้รถคันอื่นเสร็จเลยทั้ง 3 คนก็ออกมาบอกว่าไปที่อื่นเถอะ

ขณะนั้นเองอาจารย์พิเชรษฐ์ท่านก็โทรกลับมาหาผมอีกครั้งท่านพูดย้ำคำเดิมว่าให้ไปพักที่บ้านของท่าน ไม่ต้องเกรงใจ พวกเราในรถจึงพูดกันว่านี่ส่งสัยเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าแน่ๆที่จะให้เราไปพักที่บ้านของอาจารย์ พวกเราจึงตกลงไปพักที่นั่น

ท่านอาจารย์พิเชรษฐ์ ท่านกรุณาบอกทางให้และออกมารอรับเราที่ข้างทาง ผมขับรถออกนอกเมืองไปประมาณ 10 กิโลเมตรก็พบกับท่านอาจารย์พิเชรษฐ์จอดรถรอผมอยู่ เมื่อได้พบกันแล้วท่านก็กรุณาขับรถนำพวกเราไปที่บ้านของท่าน จากถนนใหญ่เข้าไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร แต่เป็นทางขึ้นหมู่บ้าน บ้านของท่านตั้งอยู่บนภูเขา อากาศดีมาก

ขณะที่ผมขับรถตามอาจารย์พิเชราษฐ์ไป มีพี่น้องที่นั่งมาด้วยกันในรถถามผมด้วยความเป็นห่วงว่า คนนี้ใช่อาจารย์พิเชรษฐ์หรือเปล่า ผมก็ตอบว่าไม่ทราบครับ ไม่เคยรู้จักและไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลยครับนี่เป็นครั้งแรก ทุกคนในรถก็ถึงกับอึ้งไปหมด เพราะว่าเรากำลังขับรถตามใครไปก็ไม่รู้ แต่ลึกๆในใจผมรู้สึกว่ามีสันติสุขมาก ผมเชื่อว่าพระเจ้าจะให้พวกเราทำอะไรบางสิ่งบางอย่างแน่นอน

เมื่อพวกเราเข้ามาถึงที่บ้านของอาจารย์พิเชรษฐ์ ปรากฎว่าเคยเป็นศูนย์พัฒนาอาชีพที่มิชชันนารีมาทำเอาไว้นับ 10 ปีแล้ว และตอนนี้มิชชันนารีได้กลับประเทศไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว อาจารย์พิเชรษฐ์และภรรยาเป็นผู้ดูแลต่อ

บ้านที่ผมพักจึงเป็นบ้านของมิชชันนารี พี่น้องทุกคนที่ไปด้วยกันกับผมเมื่อเห็นบ้านพักแล้วพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า ขอบคุณพระเจ้า นี่คือ Super Suit ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับพวกเรา มี 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 ห้องรับแขก มีอุปกรณ์เครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน มีเครื่องทำน้ำอุ่น มีเครื่องปรับอากาศทุกห้อง สะอาดสะอ้าน เหมือนได้รับการดูแลอย่างดีอยู่เสมอ

เมื่อพวกเราไปถึงนั้นคุณสุกัญญา ภรรยาของอาจารย์พิเชรษฐ์กำลังเป็นพยานให้กับผู้สนใจคนหนึ่ง (ชื่อคุณแสวง) ที่สำนักงานของศูนย์ฯ พวกเราจึงพากันไปสมทบ เมื่อพวกเราไปเห็นวิธีการประกาศแล้วพวกเราถึงกับอ้าปากค้าง เพราะว่าการประกาศเป็นพยานเต็มไปด้วยความตื่นเต้นร้อนรน และมีรูปภาพประกอบทำให้เห็นชัดเจนเป็นขั้นเป็นตอนตั้งแต่เริ่มแรกของมนุษย์จนถึงล้มลงในความบาป และการช่วยกู้จากพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ื เมื่อภรรยาอาจารย์พิเชรษฐ์ประกาศเป็นพยานเสร็จพวกเราก็เสริมคนละนิดคนละหน่อย เล่าคำพยานของเราให้ฟัง ในที่สุดผู้สนใจท่านนี้ก็ตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ขอบคุณพระเจ้าอีกครั้งที่พวกเราได้มีส่วนในพันธกิจของพระเจ้า ผมได้รับเกียรติจากอาจารย์พิเชรษฐ์และภรรยา ให้เป็นผู้ทำคลอด ผมจึงได้นำคุณแสวงอธิษฐานเชิญพระเยซูเข้ามาในชีวิต ประกาศตัวติดตามพระเยซูคริสต์ และได้อธิษฐานขอพระพรเผื่อด้วย

หลังจากนำรับเชื่อเสร็จแล้วพวกเราได้มีโอกาสแนะนำตัวเองให้กับเจ้าของบ้านคืออาจารย์พิเชรษฐ์กับภรรยา คือคุณสุกัญญา ให้ได้รู้จักกับพวกเรา และเป้าหมายของเราที่เดินทางมาจังหวัดน่านและแผนการเดินทางของเราในวันพรุ่งนี้ เพราะว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย ขอบคุณพระเจ้าอีกครั้งและขอขอบคุณอาจารย์พิเชรษฐ์และภรรยา ที่ได้ต้อนรับพวกเราและดูแลพวกเราเป็นอย่างดี ได้จัดเตรียมสิ่งต่างๆให้กับพวกเรา ในคืนนั้นพวกเรานอนหลับอย่างมีความสุข เพราะว่าพวกเราได้ทำพันธิกิจที่พระเจ้าจัดเตรียมไ้ว้

เช้าวันรุ่งขึ้น (วันอังคารที่ 28 ธันวาคม) ผมตื่นแต่เช้า เพื่อออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ ขอบคุณพระเจ้าอีกครั้งที่วันนี้อากาศดีมาก ได้สัมผัสความหนา็วเย็นที่ไม่สามารถหาได้ในกรุงเทพฯ ต้องบอกว่าครั้งนี้ไม่ผิดหวังที่ตั้งใจว่าจะมาสัมผัสอากาศหนาวที่ภาคเหนือ ได้เห็นทะเลหมอก เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านที่นั่นในตอนเช้าๆ

ผมได้พบกับอาจารย์พิเชรษฐ์ในตอนเช้าก่อนการเดินทาง อาจารย์บอกว่าท่านจะไปเยี่นมน้องคนหนึ่งชื่อน้องฟ้า (เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรู้น้องฟ้ามา) ที่ประสบอุบัติเหตุเมื่อประมาณ 10 เดือนที่ผ่านมาเดินไม่ได้และมีอาการเจ็บปวดอย่างมาก แต่เมื่อประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมาน้องฟ้าได้รับการอธิษฐานอาการปวดได้หายไปอย่างปิดทิ้ง จึงได้เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ และต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทุกวันพฤหัสฯ น้องฟ้าจะมาพักที่บ้านของอาจารย์เพื่อรับการสอน การเลี้ยงดู แต่สัปดาห์นี้ไม่ได้มาเพราะว่าไม่สะบาย อาจารย์พิเชรษฐ์จึงจะไปเยี่ยม พวกเราจึงขอตามไปด้วย ผมจึงทำหน้าที่ขับรถพาอาจารย์พิเชรษฐ์และพวกเราไป

เมื่อเราได้มาถึงบ้านของน้องฟ้า ซึ่งอยู่ที่อำเภอปัว ต้องขอบคุณพระเจ้าอีกครั้งที่ได้เห็นความเชื่อและความศรัทธาของน้องฟ้า เพราะว่าน้องฟ้าไม่สามารถจะเดินได้เองต้องใช้ไม้เท้าพยุงไหล่ทั้งสองข้าง แต่ด้วยความเชื่อในพระเจ้า น้องได้เป็นพยานกับอีกน้องอีกคนหนึ่งที่ป่วยเป็นโรครูคีเมีย (ไม่รู้เขียนถูกหรือเปล่า) มีอาการเหนื่อยง่าย ไม่สามารถเดินไกลๆได้ ทำงานอะไรก็จะเหนื่อย เมื่อได้รับการอธิษฐานเผื่อแล้วอาการเหล่านั้นหายไปจนหมดสิ้น สามารถเดินไปไหนๆได้ สามารถทำงานได้ ขอบคุณพระเจ้า พวกเราเชื่อว่าน้องทั้งสองนี้จะเป็นเมล็ดพันธุ์ของพระเจ้าในหมู่บ้านนี้ ทั้งสองคนนี้จะเดินทางไปที่บ้านของอาจารย์พิเชรษฐ์ ที่เปิดเป็นคริสตจักร ด้วยระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตรทุกสัปดาห์ (สุขภาพก็ไม่ดีและระยะทางก็ไกล เดินทางก็ไม่สะดวก) ถ้าไม่รักพระเจ้าคงทำไม่ได้แน่

หลังจากนั้นพวกเราได้ไปส่งอาจารย์ทำธุระที่อำเภอ ระหว่างทางนั้นพวกเราขอร้องให้อาจารย์พิเชรษฐ์พาพวกเราไปที่ดอยภูคา เพราะว่าที่นั่นมีเสียงเล่าลือกันว่า มีดอกชมพูภูคาสวยมากและมีที่นี่ที่เดียวเท่านั้น อาจารย์พิเชรษฐ์ก็กรุณาเราอีกเช่นเคย (อาจารย์น่ารักมากครับ) อาจารย์ได้เป็นไก้ด์พาพวกเราไปดูฝีพระหัถต์อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ตลอดเส้นทางที่เราไป ถนนคดเคี้ยว โค้งไปมา สวยงามมาก พวกเราต้องขอบคุณพระเจ้าอีกครั้งเมื่อเรามองดูที่ภูเขา บางลูกก็ถูกมนุษย์ตัดไม้ทำลายป่าจะกลายเป็นเขาหัวโล้น แต่บางลูกก็ยังอุดมสมบูรณ์ดีอยู่ พวกเราก็คุยกันว่าพระเจ้าทรงรดน้ำให้กับต้นไม้บนภูเขาเหล่านั้นอย่างแน่นอน เพราะว่าไม่มีมนุษย์คนไหนจะทำได้

เมื่อเราไปถึงต้นชมพูภูคา เราก็ต้องตื่นตะลึงอีก เพราะว่ามีอยู่ต้นเดียวและที่ทำให้เราทึ่งก็คือมันยังไม่ออกดอก มันจะออกดอกประมาณปลายเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ พวกเราจึงอ่านประวัติดูก็ทำให้เรารู้ว่า ต้นชมพูภูคานี้มีอยู่แห่งเดียวที่ดอยภูคาเท่านั้นและเป็นไม้ใกล้จะสูญพันธุ์ด้วย

พวกเราไปต่อที่บ่อเกลือสินเธา (ไม่รู้เขียนถูกหรือเปล่า) อายุ 108 ปี ชาวบ้านที่นั่นทำอาชีพต้มเกลือขายให้กับนักท่องเที่ยวและชาวบ้านทั่วไป เมื่อก่อนพ่อค้าแม่ค้าที่อำเภอปัวก็จะต้องขึ้นมาซื้อเกลือที่นี่เอาไปขายในตลาด เมื่อเที่ยวกันเสร็จ หาซื้อของฝากกันเรียบร้อยแล้วพวกเราก็ไปหาอาหารเที่ยงทานกัน พี่น้องของเราก็สอบถามกับคนที่บ่อเกลือว่าแถวนี้มีอะไรอะร่อย เค้าก็บอกว่าแถวนี้ก็มีส้มตำอะร่อย แต่เป็นแบบชาวบ้านๆ พวกพี่ต้องขึ้นไปทานบนเขานู้น เราก็มองตาม ในที่สุดเราก็ไปตามคำเเนะนำ ต้องขอบคุณพระเจ้าอีกครั้ง มีร้านอาหารอะร่อย ราคาไม่แพง บรรยากาศดี มองลงมาเห็นวิวสวยงาน มีอยู่แห่งเดียวที่บ่อเกลือ (ขอบอกว่าอาหารอะร่อยมากครับ ไม่ผิดหวังแน่)

พวกเรากลับลงมาจากบ่อเกลือเข้าอำเภอปัว พวกเราใช้เวลาไป 1 ชั่วโมง แต่ตอนขาขึ้นเราใช้เวลาไปเกือบ 3 ชั่วโมงรวมทั้งลงไปดูสถานที่ต่างๆด้วย พวกเรากลับถึงบ้านของอาจารย์พิเชรษฐ์ก็เย็นพอดี พวกเราจึ่งเรียนเชิญอาจารย์พิเชรษฐ์และครอบครัวไปทานอาหารเย็น เพื่อเป็นการเลี้ยงขอบคุณ (เดี๋ยวกลับมาต่อ)

01 มกราคม 2554

คริสตมาสแห่งสันติภาพ


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2010

พระธรรม ลูกา 4:17-19

                อาจารย์ลูกาได้ยกเอาพระธรรมอิสยาห์ 61:1-2 ที่ได้พยากรณ์ถึงพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์จะมาปลดปล่อยคนหมดโลกนี้ให้เป็นอิสระจากความบาปและได้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า พระองค์ได้นำข่าวดีไปยังคนที่ทุกข์ใจ คนที่เดือดร้อน คนที่ผิดหวัง คนที่ชอกช้ำระกำใจ เพื่อประกาศอิสรภาพให้กับคนที่ถูกจองจำ เปิดประตูคุกให้กับบรรดาคนที่เปิดใจออกเชื่อวางใจในพระองค์  วันคริสตมาสจึงเป็นวันพิเศษสำหรับทุกคน ไม่ใช่เฉพาะบางคน หรือเป็นเพียงการให้ของขวัญกันเท่านั้น แต่วันคริสตมาสมีความหมายอย่างมากสำหรับคนหมดโลก มีความหมายอย่างไร 3 ประการ คือ

1 ให้อิสรภาพ (ลก.4:18)
          พระเยซูได้มาประกาศอิสรภาพให้กับเราทั้งหลาย เมื่อก่อนเราเป็นทาสของมารซาตาน เราถูกมารซาตานควบคุมเราผ่านสิ่งต่างๆ ทำให้เราไม่มีอิสรภาพที่แท้จริง เราต้องคอยทำตามสิ่งที่มารซาตานต้องการอยู่เสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ บางครั้งมารซาตานทำให้เราตกอยู่ในความกลัว บางคนเป็นทาสของความเจ็บปวดในอดีตที่ผ่านมา บางคนเป็นทาสของความขมขื่น มารซาตานไม่ยอมปล่อยให้หลุดพ้น บางคนเป็นทาสของยาเสพติด บางคนเป็นทาสของการพนัน บางคนเป็นทาสของเหล้า บุหรี่ แต่พระเจ้ามาเพื่อประกาศอิสรภาพให้กับคนเหล่านั้น ไม่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของมารซาตานอีกต่อไป การให้อิสรภาพเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า (ลวน.25:10) พระเจ้าได้ตั้งวันสะบาโตไว้ให้กับคนอิสราเอล (อพย.20:10) (ลวน.25:2-4) (1คร.11:25)

2 ให้การรักษา (ลก.4:18)
               พระเยซูไม่เพียงให้อิสรภาพกับเรา พระองค์ยังทรงนำการรักษา การช่วยเหลือมาให้กับเราด้วย อิสยาห์ได้บอกว่าพระองค์จะประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ไม่เพียงแต่คนตาบอดให้ฝ่ายกายภาพเท่านั้นที่จะได้เห็นอีก แต่คนที่ตาบอดฝ่ายวิญญาณก็จะได้เห็นด้วย พระองค์มาเพื่อช่วยคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยให้หาย คนที่ต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์จะได้รับการเยียวยา การรักษาจะมาถึงคนที่มีความเชื่อ เพราะถ้าเราเชื่อเราจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า (ยน.11:40) (มธ.9:20-22) (มก.6:56)

3 ให้เสรีภาพ (ลก.4:18)
               พระเยซูไม่ได้มาเพื่อให้อิสรภาพ และการรักษากับเราเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงนำเสรีภาพมาสู่เราด้วย อิสยาห์บอกว่าพระองค์จะมาประกาศว่าให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ พระองค์ให้เสรีภาพกับเราทั้งหลายที่เป็นผู้เชื่อ ให้หลุดพ้นจากการถูกบีบบังคับ เมื่อก่อนเราอาจจะไม่รู้ตัวว่าเราถูกมารซาตานบังคับขู่เข็นเราด้วยคำพูดต่างๆ นานาทำให้เราต้องตกอยู่ภายอำนาจของมัน บางคนอาจจะตกอยู่ภายใต้คำแช่งสาป แต่พระเยซูมาแก้มัดให้กับเรา โดยการฉีกกรมธรรม์นั้นให้กับเรา (คส.2:14) (2คร.1:21-22) (2คร.3:17) เรามีเสรีภาพโดยพระวิญญาณ เราได้รับการปลดปล่อยโดยพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงประทานให้กับเรา เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์

               วันคริสตมาสคือวันแห่งอิสรภาพ วันแห่งการรักษา วันแห่งเสรีภาพ ดังนั้น ใครก็ตามที่ต้องการได้รับอิสรภาพ ได้รับการรักษา ได้รับเสรีภาพ ต้องมาหาพระเจ้าและเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เราจะหลุดพ้นจากคำแช่งสาป หลุดพ้นจากความขมขื่น หลุดพ้นจากพันธนาการของมารซาตานและความป่วยไข้ เพราะพระเยมาเพื่อเราจะได้ชีวิตใหม่ ขอให้คริสตมาสปีนี้เป็นปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้าสำหรับท่านทั้งหลายที่วางใจในพระเจ้า (ดูเพิ่มเติมได้ที่ www.churchofpeace2010.org)

ขอพระเจ้าอวยพรครับ