23 มิถุนายน 2555

ยิ่งใหญ่แต่สุภาพ


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน 2012

พระธรรม มัทธิว 12:15-21
พวกฟาริสีพยายามจับผิดพระเยซูและสาวกเรื่องการเด็ดรวงข้าวในวันสะบาโตและเรื่องการรักษาโรคในวันสะบาโต แต่พระเยซูได้ชี้แจงหลักการเบื้องหลังของวันสะบาโตโดยการยกตัวอย่างเรื่องของดาวิดที่กินขนมปังหน้าพระพักตร์และการทำงานของปุโรหิตในวันสะบาโตมาให้เห็นว่าทั้งสองสิ่งนี้เป็นที่ยอมรับของพวกฟาริสีมิใช่หรือ ทำไมเมื่อพระองค์ทำอย่างเดียวกันจึงบอกว่าเป็นการผิด พวกฟาริสีจึงรู้สึกโกรธและไม่พอใจเป็นอย่างมากจึงหาทางที่จะฆ่าพระเยซูให้ได้ เมื่อพระเยซูรู้เช่นนั้นก็พระองค์มิได้ตอบโตด้วยความรุนแรงกลับไปแต่ตรงกันข้ามพระองค์กลับเลือกที่จะหลบออกไปและทำการรักษาคนเจ็บคนป่วยให้หายต่อไป พระองค์เลือกที่จะทำสิ่งที่ถูกมากกว่าการตอบโต้อย่างรุนแรง พระองค์ไม่ใช้วิธีการกดขี่แต่เลือกการที่จะถ่อมใจ ซึ่งทำให้เราเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่แฝงอยู่ในความสุภาพ ดังนี้
1. ความยิ่งใหญ่ของพระคริสต์ (มธ.12:18, 21)
1.1 เป็นผู้ที่พระเจ้าเลือกสรร (มธ.12:18) พระเยซูเป็นพระบุตรที่ได้รับการเลือกสรรไว้ เพื่อไถ่บาปคนเป็นอันมาก พระเจ้าได้กำหนดพระเยซูเอาไว้สำหรับการนี้โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นคนเดียวที่จะช่วยประชาชาติทั้งหลายได้ เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรรเราไว้ให้มาเป็นลูกของพระองค์ ถือเป็นความยิ่งใหญ่สำหรับเราทุกคน เราเป็นคนพิเศษที่พระเจ้าทรงเลือกเรา ไม่ใช่ว่าเราดีกว่าคนอื่น หรือมีความสามารถมากกว่าคนอื่น แต่เราเป็นคนพิเศษที่พระเจ้าเลือกเรา เพื่อการพิเศษของพระเจ้าคือนำคนมาถึงความรอด
1.2 เป็นผู้ที่เต็มไปด้วยการเจิม (มธ.12:18) พระเจ้าได้เอาพระวิญญาณของพระองค์สวมทับพระเยซูเอาไว้เพื่อให้พระเยซูเต็มด้วยด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า การเจิมหรือการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณทำให้เกิดความแตกต่าง นำมาซึ่งฤทธิ์อำนาจ ไม่ว่าการเจิมนั้นจะเกิดขึ้นกับผู้ใด ทำให้ผู้นั้นเกิดความแตกต่างไปจากเดิมและฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าก็จะมาอยู่เหนือผู้นั้น เราเห็นพระเยซูเต็มไปด้วยการเจิมของพระวิญญาณบริสุทธิ์ตั้งแต่ที่พระองค์รับบัพติศมาที่แม่น้ำจอร์แดน พระองค์ก็สามารถเอาชนะมารซาตานมาได้ตลอด พระองค์ขับผี รักษาโรคต่างๆให้หาย การเจิมต้องนำมาซึ่งพระพรไม่ใช่การทำลาย เราต้องขอให้พระเจ้าเติมเราให้เต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อเราจะได้เป็นพรเพื่อคนทั้งหลาย
1.3 เป็นผู้พิพากษาที่ยุติธรรม (มธ.12:18) พระองค์ประกาศและประทานความยุติธรรมให้กับบรรดาประชาชาติ พระองค์จะพิพากษาด้วยความเที่ยงธรรม พระองค์จะไม่มีความลำเอียง เราทุกคนต้องรายงานตัวต่อพระองค์ที่หน้าบัลลังค์ เราไม่สามารถที่จะหลบหนีหรือโกหกได้ ทุกสิ่งต้องปรากฎขึ้นในวันแห่งการพิพากษา เราต้องเตรียมตัวของเราให้พร้อมสำหรับการรายงานตัวของเรา
1.4 ผู้เป็นความหวังของบรรดาประชาชาติ (มธ.12:21) ไม่เพียงแต่เป็นผู้พิพากษาที่ยุติธรรมแล้วยังเป็นความหวังของบรรดาประชาชาติทั้งหลายหมดโลกนี้ มนุษย์ไม่สามารถฝากความหวังไว้กับสิ่งใดได้นอกจากฝากไว้กับพระเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น เพราะพระองค์ผู้เดียวที่สามารถยกโทษความผิดบาปของเราได้ ให้ความรอดกับเราได้ เราต้องเปิดใจออกยอมรับการช่วยเหลือจากพระเจ้า เราต้องตอบสนองพระองค์อย่างถูกต้อง ไม่มีพระเยซูไม่มีความหวังใจ ไม่มีความรอด ต้องตกนรกบึงไฟเท่านั้น
2. ความสุภาพของพระเยซูคริสต์ (มธ.12:15-16, 19-20)
แม้พระเยซูจะเป็นผู้ที่มีความยิ่งใหญ่แต่พระองค์กลับแสดงความถ่อมสุภาพอย่างชัดเจน พระองค์ไม่ใช้ความรุนแรงในการตอบโต้ พระองค์เลือกทำในสิ่งที่ดี คือช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน พระเยซูไม่ได้อ่อนแอหรือขลาดกลัว แต่พระองค์เลือกที่จะสุภาพอ่อนโยน เราเห็นการแสดงออกของพระองค์ดังนี้
2.1 ไม่ต่อสู้กับผู้ที่มุ่งร้าย (มธ.12:15, 19) พวกฟาริสีคิดหาทางฆ่าพระเยซู แต่เมื่อพระองค์ทรงทราบก็ทรงหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า พระองค์ไม่ต้องการที่จะทะเลาะกับใคร เพราะว่าไม่มีประโยชน์อะไร ความรุนแรงไม่ได้ช่วยให้เกิดการแก้ไขปัญหา พระองค์ไม่ใช่ความรุนแรง เปโตรบอกว่าอย่าตอบแทนการร้ายด้วยการร้ายแต่ให้อวยพรเขา (1ปต.3:9) ความถ่อมใจแท้คือการตอบสนองต่อความรุนแรงด้วยความสุภาพและทำสิ่งที่ดี อ.เปาโลบอกว่า อย่าแก้แค้นเลยถ้าศัตรูของท่านหิวจงให้อาหารเขารับประทาน (รม.12:20) ฝากการแก้แค้นไว้กับพระเจ้า แต่จงทำสิ่งที่ดีอยู่เสมอ
2.2 ไม่แสวงหาเกียรติยศชื่อเสียง (มธ.12:15-16, 19) พระเยซูรักษาคนเจ็บคนป่วยมากมายและสั่งไม่ให้เขาไปบอกกับผู้ว่าพระองค์คือผู้ใดและใครรักษาให้ เพราะว่าพระองค์ไม่ต้องการได้รับเกียรติยศชื่อเสียง แต่คนส่วนใหญ่วิ่งหา เพราะว่าบรรดาเนื้อหนังก็เป็นเสมือนต้นหญ้าและบรราศักดิ์ศรีของเขาก็เป็นเสมือนดอกหญ้าที่จะเหี่ยวแห้งไป (1ปต.1:24) ศักดิ์ศรีไม่ได้มาจากที่คนอื่นมอบให้แต่มาจากการกระทำสิ่งที่ดีที่ถูกต้องของเราเอง จงถ่อมใจและยกพระองค์ขึ้นให้สูงที่สุดในชีวิตของเรา เมื่อความถ่อมใจมาถึงการลงโทษก็ออกไป (2พศด.32:24-26) ให้เราถ่อมใจยินดีทำสิ่งที่คนอื่นเห็นว่าต่ำต้อย (รม.12:16) แต่จงคิดให้ถ่อมสุขุมสมกับขนาดความเชื่อ (รม.12:3) อย่าแสวงหาเกียรติยศชื่อเสียงเพื่อตัวเอง แต่จงให้พระเจ้า
2.3 อ่อนโยนต่อผู้ที่ชอกช้ำ (มธ.12:20) คนที่ชอกช้ำคนที่สิ้นหวังพระองค์จะทรงให้ชีวิตใหม่ คนที่เดือดร้อนพระองค์ทรงให้ความช่วยเหลือ นี่คือความอ่อนโยนที่พระองค์ทรงแสดงออกมา พระองค์ไม่ซ้ำเติมคนที่กำลังเดือดร้อน แต่กลับให้ความช่วยเหลือ ให้โอกาส ให้กำลังใจ ให้สิ่งที่เขาต้องการ เราเป็นลูกของพระเจ้า พระองค์ทรงเลือกสรรเรามา และทรงไถ่เราด้วยราคาแพง เราจะต้องตอบสนองต่อพระองค์ด้วยการแสดงออกถึงความอ่อนโยน สุภาพ ให้การช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการแสดงถึงความเข้าแข็งในพระองค์

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

พระเยซูผู้มีสิทธิอำนาจ


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2012

พระธรรม มัทธิว 12:22-37
ผีมารซาตานคือศัตรูตัวสำคัญของผู้เชื่อ เปโตรได้เตือนผู้เชื่อ ให้ระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี เพราะว่ามารซาตานวนเวียนอยู่รอบๆ ดุจสิงห์คอยเที่ยวไปหาคนที่ปล่อยตัวปล่อยใจ (1ปต.5:8) คนที่ไม่ระมัดระวังชีวิต เพื่อทำลายชีวิตของผู้เชื่อเหล่านั้น แต่พี่น้องที่รักเราไม่ต้องวิตกกังวลถ้าหากเราดำเนินชีวิตใกล้ชิดกับพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่มีชัยชนะเหนือมารซาตาน พระองค์ทรงมีฤทธานุภาพไม่จำกัด พระองค์เป็นผู้มีสิทธิอำนาจเหนือมารซาตาน จากพระธรรมตอนนี้เราเห็นถึงสิทธิอำนาจของพระเยซูอย่างชัดเจน คือ
1.      พระเยซูมีสิทธิอำนาจในการขับผี (มธ.12:22-29)
การขับผีของพระเยซูคริสต์ไม่เพียงทำให้ผีถูกขับออกไปเท่านั้น แต่ยังได้สำแดงถึงบางสิ่งบางอย่างให้เราได้เห็นถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้า อย่างน้อย 2 ประการ คือ
1.1  ได้สำแดงอาณาจักรของพระเจ้า (มธ.12:22-28)
พระเยซูบอกว่า แต่ถ้าเราได้ขับผีออกด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า แผ่นดินของพระเจ้าก็มาถึงท่านแล้ว แผ่นดินสวรรค์หรืออาณาจักรของพระเจ้า หมายถึงการครอบครอง เมื่อก่อนผีได้ครอบครองในจิตใจของเรา เราตกอยู่ในอาณาจักรของผีมารซาตาน แต่พระเยซูได้มาตายที่กางเขนเพื่อไถ่เรา ได้นำเราออกมาจากอาณาจักรของมารซาตาน มาอยู่ภายใต้การครอบครองของพระเจ้า นั่นคือ พระองค์พาเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระองค์ ดังนั้นเมื่อเรากลับใจใหม่ แผ่นดินสวรรค์จึงเข้ามาใกล้เราแล้ว (มธ.4:17) คือมาอยู่แค่เอื้อมของเรา ถ้าในฝ่ายวิญญาณ เราก็ได้อยู่ในแผ่นดินสวรรค์แล้ว (มธ.12:28) แต่ในฝ่ายกายภาพเรากำลังที่จะเข้าไปในวันสุดท้าย เมื่อพระเยซูมารับเรา หรือเมื่อเราจากโลกนี้ไปอยู่กับพระองค์ มารซาตานยังทำงานของมันอยู่อย่างไม่ลดละ เราจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังในการดำเนินชีวิตของเรา เพื่อไม่ให้เราต้องตกไปอยู่ในอาณาจักรของมารซาตานอีก พระเยซูสอนสาวกให้อธิษฐานว่า ขออย่านำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลองเลย แต่ขอให้พ้นจากชั่วร้าย (มธ.6:13) เพราะถ้าเราไม่ระมัดระวัง ผีจะกลับมาหาเราอีก (มธ.12:43-45) ให้เราเดินติดตามพระเจ้าอย่างใกล้ชิด เพื่อว่าเราจะได้อยู่กับพระองค์เสมอไป (มธ.16:27-28) พระองค์จะทรงประทานบำเหน็จให้กับเรา (มธ.26:29, 64) เพื่อเป็นการประกาศพระราชอาณาจักรของพระองค์ร่วมกัน
1.2 สำแดงชัยชนะของพระเยซู (มธ.12:29)
พระเยซูมีสิทธิอำนาจเหนือมารซาตาน พระองค์ได้ขับผีออก ซึ่งเป็นการแสดงให้เราเห็นชัยชนะของพระเยซูที่มีเหนือมารซาตาน แม้มารซาตานจะดูยิ่งใหญ่ในสายตาของคนทั้งหลาย รวมทั้งในสายตาของผู้เชื่อบางคนหรือในชีวิตของเราบางครั้ง เราต้องเชื่อในฤทธิ์อำนาจของพระเยซู เชื่อในชัยชนะของพระเยซู เพราะถ้าเราเชื่อเช่นนั้น เราก็ได้รับชัยชนะเช่นนั้นด้วย (1ยน.4:3-4) มารซึ่งเป็นเจ้าแห่งการล่อลวงก็จะถูกจับโยนลงไปในบึงไฟนรก (วว.20:10) ให้เราตระหนักอยู่เสมอว่า เราเป็นผู้มีชัยชนะร่วมกับพระเยซู เรามีชัยเหนือมารซาตาน แต่บางครั้งเราพ่ายแพ้ต่อใจเราเอง เราพ่ายแพ้ต่อสภาพเศรษฐกิจ เราพ่ายแพ่ต่อการล่อลวงทางเพศ เราพ่ายแพ้ต่อชื่อเสียงเกียรติยศ ทำให้เราทอดทิ้งพระเจ้าหันไปกับสิ่งเหล่านั้น บางคนบอกว่านั่นไม่ใช่ผีมารซาตาน จริงอยู่สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ผีมารซาตาน แต่มารซาตานได้ใช้สิ่งเหล่านั้นมาล่อลวงเรา เราต้องเฝ้าระวังและอธิษฐานอยู่เสมอ เพื่อเราจะไม่ต้องถูกทดลอง (มธ.26:41) บางครั้งเราประมาท  เราคิดว่าเราเข้มแข็งแท้จริงจิตวิญญาณของเรายังอ่อนอยู่ บางครั้งจิตวิญญาณเราเข้มแข็ง แต่ร่างกายเราอ่อนแอก็ทำให้เราถูกล่อลวงได้ง่าย เช่นคนที่กำลังป่วย คนที่กำลังมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ก็อาจจะถูกมารล่อลวงได้ เราจึ่งต้องไม่ประมาท ยึงพระเยซูเอาไว้ พระองค์เป็นผู้มีชัยชนะ เราก็ได้รับชัยชนะร่วมกับพระองค์ด้วย
2. การตอบสนองต่อสิทธิอำนาจของพระเจ้า (มธ.12:23-37)
2.1 เราต้องรักษาจิตใจของเราให้ถูกต้อง (มธ.12:23-25)
อย่าให้เราเป็นเหมือนพวกฟาริสี ที่รู้อยู่แก่ใจว่าพระเยซูเป็นผู้มีสิทธิอำนาจ แต่ใจแข็งกระด้างไม่ยอมรับความจริง หรือยอมรับความจริงไม่ได้ว่า พระเยซูเป็นผู้มีสิทธิอำนาจ ใจปิดไม่ยอมเปิดรับความจริง ไม่ว่าจะเห็นความจริงอย่างไรก็ตาม ใจก็ยังแข็งกระด้าง และเมื่อเห็นพระเยซูขับผีออก ก็บอกว่าพระเยซูใช้อำนาจของนายผี พี่น้องที่รักให้เรารักษาใจของเราให้ถูกต้อง อย่ารักษาหน้ามากกว่ารักษาใจ ถ้าหากเราทำผิดก็ยอมรับว่าเราทำผิด ถ้าเราไม่รู้ก็ยอมรับว่าเราไม่รู้ พระเจ้าและทุกคนพร้อมที่จะให้อภัยแก่เรา แต่ถ้าเรายิ่งไม่ยอมรับผลเสียก็จะเกิดขึ้นกับเราในที่สุด เราต้องรักษาใจของเราเพราะว่าชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ (สภษ.4:23) อย่าปล่อยไปตามอารมณ์ความรู้สึก อย่าแช่อยู่ในความบาป อย่าปล่อยให้ความคิดแง่ลบเข้ามา จงรักษาใจของเราให้ถูกต้อง
2.2 ผูกพันตัวกับพระเจ้า (มธ.12:30)
ถ้าหากเราต้องการที่จะมีชีวิตที่ปลอดภัยเราต้องนำชีวิตของเราเข้ามาผูกพันตัวกับพระเจ้า ถ้าเราไม่มาผูกพันตัวกับพระเจ้า เราก็กำลังปล่อยให้ตัวเราตกไปอยู่ภายใต้การครอบครองของผีมารซาตาน เราควรจะตัดสินใจให้ชัดเจนว่าเราจะเลือกติดตามใครระหว่างพระเจ้ากับผีมารซาตาน การดำเนินชีวิตของเราเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเราตัดสินใจในเลือกว่าเราจะเดินอยู่ฝ่ายไหน เราไม่สามารถเลือกเอาทั้งสองฝ่ายได้ ถ้าเราเชื่อพระเจ้าเราก็ต้องกระทำสอดคล้องกับความเชื่อของเรา (ยก.2:19, 22) มารมันกลัวพระเจ้าจนตัวสั่น จงเข้ามาสนิทกับพระเจ้า ด้วยการอธิษฐานการวิงวอน การอ่านพระคัมภีร์ การนมัสการพระเจ้า ด้วยการรับใช้ อย่าวิ่งหนีพระเจ้า เพราะมารจะวิ่งตามมา
2.3 ระมัดระวังคำพูด (มธ.12:31-37)
ฟาริสีพูดจาดูหมิ่นพระเจ้า ว่าพระองค์ใช้อำนาจของนายผี พระเยซูบอกว่าใครก็ตาที่พูดดูหมิ่นหรือกล่าวร้ายบุตรมนุษย์จะโปรดยกโทษให้ได้ แต่ถ้ากล่าวร้ายหรือดูหมิ่นพระวิญญาณ ไม่สามารถยกโทษให้ได้ทั้งในยุคนี้และยุคหน้า ดังนั้นเราต้องระมัดระวังคำพูดของเรา บางครั้งคำพูดของเราที่เราไม่ได้ระวังกลายเป็นคำพูดที่เป็นการดูหมิ่นพระเจ้า อาจารย์เปาโล ได้บอกว่าเมื่อก่อนท่านเคยดูหมิ่นพระเจ้า เพราะทำไปด้วยความโง่เขลา (1ทธ.1:13) เราต้องระมัดระวังคำพูด เราไม่ควรพูดเล่นไม่เป็นสาระ อย่าพูดเอาเพียงแค่สนุก บางครั้งการพูดของเราเป็นการให้ร้ายพระเจ้า หรือให้ร้ายพี่น้องของเรา หรือคำพูดของเราเป็นการกล่าวติเตียนพระเจ้า ต่อว่าพระเจ้า เมื่อพระองค์ไม่ตอบคำอธิษฐานของเรา หรือบางครั้งคำพูดของเราเป็นการสบประมาทพระเจ้า ดังนั้นก่อนที่เราจะพูดอะไรออกไป เราต้องระมัดระวัง เราต่างก็เคยผิดพลาดในเรื่องนี้มาแล้ว เราไม่ควรทำผิดอีก
ดังนั้นให้เราตระหนักว่า พระเยซูเป็นพระเจ้าผู้มีสิทธิอำนาจ พระองค์ทรงขับผีออก ซึ่งเป็นการสำแดงอาณาจักรของพระเจ้า สำแดงถึงการครอบครองของพระเจ้า และชันชนะของพระองค์ที่ทรงมีเหนือผีมารซาตาน เราจึงควรมีท่าทีที่ถูกต้องต่อพระเจ้าและสิทธิอำนาจของพระองค์ เราต้องนำชีวิตของเราเข้ามาผูกพันไว้กับพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา เราต้องระมัดระวังคำพูดของเรา เพื่อเราจะไม่พูดดูหมิ่นพระเจ้าและพี่น้องของเราโดยไม่ตั้งใจ

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

ขอแล้วไม่ได้...หาแล้วไม่พบ


สรปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน 2012

พระธรรม มัทธิว 12:38-45
พวกฟาริสีและธรรมาจารย์พยายามจับผิดพระเยซูเพื่อที่หาช่องทางกำจัดพระเยซูมาตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสาวกเด็ดรวงข้าวกินในวันสะบาโต หรือการรักษาโรคของพระเยซูในวันสะบาโต จนมาถึงการกล่าวหาว่าพระเยซูขับผีออกโดยฤทธิ์ของนายผี พวกฟาริสีและธรรมาจารย์ใช้วิธีการที่รุนแรงมาตลอดแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ในครั้งนี้ได้เปลี่ยนมาใช้วิธีการใหม่ ที่ดูเหมือนว่าเป็นการกลับใจแล้ว คือ มาทำทีขอให้พระเยซูสำแดงหมายสำคัญการอัศจรรย์ เพื่อจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเยซู แต่พระเยซูรู้ถึงท่าทีภายในใจของคนพวกนี้เป็นอย่างดี จึงไม่ได้สำแดงหมายสำคัญใดให้กับคนพวกนี้ เพียงแต่ยกตัวอย่างหมายสำคัญในท้องปลา 3 วันของโยนาห์ และเรื่องราชินีจากทิศใต้ให้ฟังเท่านั้นยังไม่พอ พระเยซูยังต่อว่าคนพวกนั้นว่า เป็นคนชาติชั่วและคิดคดทรยศต่อพระเจ้าอีกด้วย ทำไมคนพวกนี้มาขอหมายสำคัญแล้วจึงไม่ได้ เพราะอะไร มีเหตุผล 3 ประการ คือ
1. เพราะมีใจอธรรม (มธ.12:39-40, 45)
พระเยซูเรียกคนเหล่านี้ว่า “คนชาติชั่ว” ซึ่งหมายถึงคนชั่วร้าย คิดคดทรยศต่อพระเจ้า เป็นคนล่วงประเวณี คนไม่สัตย์ซื่อ ไม่ซื่อตรงต่อพระเจ้า เปรียบเสมือนเจ้าสาวไม่ซื่อตรงต่อเจ้าบ่าว คนเหล่านี้ไม่ได้กลับใจ ไม่ได้ต้องการอยากจะเห็นหมายสำคัญจริงๆ แต่ต้องการหาหลักฐานมัดพระเยซู จิตใจของพวกเขาเต็มไปด้วยการโกหกหลอกลวง คนแบบนี้ไม่มีโอกาสได้เห็นพระเจ้า หรือหมายสำคัญจากพระเจ้า คนที่ชอบธรรมเท่านั้นที่จะได้เห็น เพราะเขามีใจบริสุทธิ์ (มธ.5:8) พระองค์จะไม่ฟังคำขอใดๆ จากคนที่สะสมความบาปเอาไว้ในชีวิต (สดด.66:18) คนที่จะเข้าหาพระเจ้าได้ ต้องเป็นคนที่มีชีวิตที่ปราศจากบาป และเขาจะได้รับพระพร (สดด.24:3-5) หนทางเดียวที่คนเหล่านั้นจะพบพระเจ้าได้ จะได้เห็นหมายสำคัญ คือเขาต้องกลับใจใหม่ ดังนั้นเราอย่าแช่อยู่ในความบาป จงออกมาจากบาป ละทิ้งบาป เราต้องกลับใจใหม่อยู่เสมอ มิฉะนั้นคำอธิษฐานของเราจะไร้ผล พระเจ้าจะไม่ฟังเรา
2. เพราะขาดใจที่แสวงหาอย่างแท้จริง (มธ.12:41-42)
ไม่เพียงแต่มีใจอธรรมแล้วยังไม่ได้แสวงหาพระเจ้าอย่างจริงใจ กลับมาจ้องจับผิดพระเยซูอีก แสวงหาแต่โอกาสที่จะทำชั่ว แสวงหาโอกาสที่จะทำความผิดบาปซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้ว่าจะมีการเตือนจากคนต่างๆ แม้จะเห็นการอัศจรรย์มากมายที่พระเยซูทำ ก็ยังไม่กลับใจ พระเยซูได้ยกตัวอย่างของโยนาห์ ให้เห็นว่า เมื่อโยนาห์ประกาศกับชาวนีนะเวห์ และพวกเขากลับใจและแสวงหาพระเจ้าอย่างจริงใจ พระองค์ทรงโปรดยกโทษให้ แต่คนพวกนี้ที่ไม่กลับใจว้นสุดท้ายจะต้องโดนพิพากษา แต่คนที่กลับใจใหม่เท่านั้นที่จะรอดพ้นจากการพิพากษาได้ ไม่เพียงตัวอย่างของโยนาห์ พระเยซูได้ยกตัวอย่างของราชีนีแห่งเชบา ที่เป็นราชินีจากทางทิศใต้ ที่ยอมจ่ายราคามาหาซาโลมอน เมื่อได้ยินถึงความมีสติปัญญาของท่าน ไม่ว่าจะไกลแค่ไหน ไม่ว่ายากลำบากอย่างไร ไม่ว่าจะต้องจ่ายราคามากน้อยเพียงใดก็ยินดี คนที่มีใจแสวงหาพระเจ้าแบบนี้จะได้รับความรอด เราต้องหมั่นแสวงหาพระเจ้าอย่างสุดใจของเรา พระองค์จะทรงฟังของเรา (โยบ.8:5-7) อย่าทำเป็นพิธี อย่าทำเพราะกลัว อย่าทำเพราะเห็นคนอื่นทำ แต่จงตั้งใจที่จะทำ ตั้งใจที่จะแสวงหาพระองค์ จงทำทุกสิ่งด้วยความจริงใจ แล้วพระองค์จะทรงตอบคำอธิษฐานของเรา
3. เพราะปล่อยให้ชีวิตปราศจากพระเจ้า (มธ.12:43-45)
พระเยซูอุปมาเรื่องชายคนหนึ่งที่ผีร้ายได้ออกจากชีวิตของเขาไปแล้ว ชีวิตของเขาเปรียบเหมือนบ้านที่ถูกทำความสะอาดเอาไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้เข้าไปอยู่ ซึ่งก็เหมือนชีวิตของคนที่กลับใจใหม่แล้ว ได้รับการชำระแล้ว แต่ยังไม่ยอมติดตามพระเจ้า ยังไม่ยอมให้พระเจ้าเข้ามาในชีวิต เมื่อผีที่ออกมาจากเขา ก็ไปตามที่ต่างๆ เพื่อจะหาที่อยู่ใหม่ แต่เมื่อหาไม่พบมันจึงกลับมาที่เดิมที่มันเคยอยู่และเห็นว่า ที่มันเคยอยู่นั้นวางอยู่แถมเก็บกวาดทำความสะอาดแล้วจึงไปตามพรรคพวกที่ร้ายกว่ามาอยู่ด้วย ชายคนนั้นจึงตกที่นั่งลำบากกว่าเดิม ชีวิตของคนที่กลับใจใหม่แล้ว ถ้าไม่ให้พระเยซูเข้ามาในชีวิต อีกไม่นานก็จะตกอยู่ในสภาพเดียวกับชายคนนี้ คือแยกกว่าเก่า ลำบากกว่าเดิม
ดังนั้นเราต้องให้พระเจ้าเข้ามาเป็นหุ้นส่วนใหญ่ในชีวิตของเรา เราต้องเกาะพระเจ้าเอาไว้ เราต้องยึดพระเจ้าให้แน่น หนทางของคนที่ไม่มีพระเจ้าก็จะพินาศไป (โยบ.8:11-15) อย่าปล่อยให้ชีวิตขาดจากพระเจ้า จงเต็มล้นในพระวิญญาณอยู่เสมอ จงมีชีวิตแห่งการอธิษฐาน จงให้พระเจ้าเติมเต็มทุกวันในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าทอดทิ้งพระเจ้า อย่าวิ่งหนีพระเจ้า จงเข้ามาหาพระองค์ จงกลับใจใหม่ จงแสวงหาพระเจ้าอย่างสุดใจ เมื่อเราขอแล้วเราก็จะได้ เมื่อเราหาแล้วเราก็จะพบ
ขอพระเจ้าอวยพรครับ