15 ธันวาคม 2554

มรสุมแห่งความกลัว


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม 2011

พระธรรม มัทธิว 8:23-27
หลังจากที่พระเยซูได้เทศนาบนภูเขาแล้ว พระองค์ได้เสด็จลงไปรักษาตามหมู่บ้านต่างๆ รอบๆ ทะเลสาบกาลิลี พระองค์ได้ทำการอัศจรรย์อีกมากมาย ได้ขับผีออกจากคนเป็นอันมาก พระองค์ได้รักษาบ่าวของนายร้อยที่เป็นง่อยให้หาย ได้รักษาแม่ยายของเปโตร พระเยซูยังได้ท้าทายให้คนเดินติดตามพระองค์อย่างแน่วแน่ และพร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งต่างๆ อย่างไม่หวั่นไหว หลังจากนั้นพระเยซูได้เสด็จลงเรือไปกับเหล่าสาวก เพื่อจะข้ามไปอีกฟากหนึ่งของทะเลสาบกาลิลี ซึ่งเป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่ ขณะที่เรือกำลังแล่นอยู่กลางทะเลสาบก็เกิดพายุใหญ่ขึ้นในขณะที่พระองค์กำลังหลับอยู่บนเรือ สาวกเกิดความกลัวขึ้นมาอย่างจับใจ เลยมาปลุกพระเยซู ความกลัวของสาวกเป็นเช่นมรสุมที่เกิดขึ้น อะไรเป็นสาเหตุของความกลัว และเราจะเอาชนะความกลัวได้อย่างไร เราสามารถเรียนรู้จากพระธรรมตอนนี้ได้ 3 ประการ

1. ดูที่สถานการณ์รอบตัว (มธ.8:23-25)
พายุใหญ่เกิดขึ้นขณะที่พระเยซูอยู่กับเหล่าสาวกอยู่ในเรือ แต่สาวกกลับไปมองดูอยู่ที่พายุใหญ่ที่กำลังโหมกระหน่ำเข้ามา จึงทำให้สาวกเกิดความกลัวขึ้นอย่างจับใจ ทำให้เหล่าสาวกทำอะไรไม่ถูก เกิดอาการรนรานขึ้นมา พี่น้องที่รักหลายต่อหลายครั้งที่ในชีวิตจริงของเราก็เป็นเช่นนี้ สายตาของเราจับจ้องอยู่ที่ปัญหาต่างๆ ที่โถมทับเข้ามาหาเรา ทำให้เราทำอะไรไม่ถูก  บางคนถึงกับเป็นลมหมดสติไปเพราะความกลัว เราสามารถควบคุมการตอบสนองของเราได้ อ.เปาโลบอกกับเราว่า อย่าเป็นเด็กอีกต่อไป (อฟ.4:14)  พระเยซูบอกว่าให้เราคิดใคร่ควรให้ดี (ลก.14:28-32) ไม่ว่าเราเผชิญสถานการณ์อย่างไร ให้เรามองไปที่พระเยซูผู้ที่ควบคุมทุกสิ่งไว้ ผู้ที่เป็นใหญ่กว่าสิ่งใดๆ ให้เราพึ่งพาพระคุณและฤทธิ์เดชของพระเจ้า เช่นเดียวกับกษัตรย์เยโฮซาฟัสแม้จะมีความกลัวแต่ท่านแสวงหาพระเจ้า  (2พศด.20:1-3) ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ใดไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหนให้เรามองไปที่พระเจ้า

2. ขาดความเชื่อ (มธ.8:26)
ไม่เพียงมองที่สถานการณ์เท่านั้น แต่เหล่าสาวกยังขาดความเชื่ออีก จึงเป็นเหตุให้เกิดความกลัวอย่างจับใจขึ้นมา ทั้งๆ ที่เหล่าสาวกเคยเห็นการอัศจรรย์มากมายที่พระเยซูทรงกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงอาหารคนห้าพันคนด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว  แต่ยังทำให้เหล่าสาวกพวกนี้กลัวได้อีก จนพระเยซูต้องตำหนิว่า เหตุไฉนจึงขลาดนัก ช่างมีศรัทธาน้อยเสียจริงๆ ความเชื่อเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตคริสเตียน เมื่อขาดความเชื่อก็ทำให้เกิดความกลัว ถ้าไม่มีความเชื่อแล้วจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าไม่ได้เลย (ฮบ.11:6)  จงอธิษฐานด้วยความเชื่ออย่าสงสัยเลย (ยก.1:6) ถ้าเราขาดความเชื่อก็ให้เราอธิษฐานขอต่อพระเจ้า (ลก.22:32) ถ้าเราขาดความเชื่อก็ให้เราประกาศพระนามของพระเจ้า (รม.10:17) ถ้าเราขาดความเชื่อก็ให้เรามองที่ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า (1ซมอ.17:32-37) อ.เปาโล บอกว่าพระองค์ทรงช่วยเราแล้วและจะทรงช่วยเราอีก (2คร.1:8-10) จงมีความเชื่อ ถ้าเรามีความเชื่อแล้วเราจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

3. ไม่รู้จักพระเจ้าจริงๆ (มธ.8:27)
เมื่อพระเยซูต่อว่าสาวกเสร็จพระองค์ก็ทรงห้ามลมและทะเล คลื่นลมก็สงบ เหล่าสาวกจึงเกิดการอัศจรรย์ใจและพูดกันว่า ท่านผู้นี้เป็นคนอย่างไรหนอ ลมและทะเลยังเชื่อฟังท่าน สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า เหล่าสาวกยังไม่รู้จักพระเยซูอย่างแท้จริง แม้ว่าพวกเหล่าสาวกจะเคยเห็นพระเยซูทำการอัศจรรย์มาแล้วก็ตาม พวกเขาอาจจะรู้จักพระเยซูเพียงแค่เป็นครูสอนศาสนาหรือเป็นผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้รู้จักพระเยซูในฐานะพระบุตรของพระเจ้า  ให้เรารู้จักพระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุด  ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง (คส.1:16) เมื่อรู้จักรพระเจ้าแล้วเราจะวางใจในพระองค์เหมือนอย่างดาวิด (สดด.56:3-4) พระเจ้าไม่ได้ทรงประทานจิตใจที่ขลาดกลัวให้กับเรา  (2ทธ.1:7) จงเรียนรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง และไว้วางใจในพระองค์ ให้พระองค์ทรงนำพาชีวิตของเราไปตามน้ำพระทัยของพระองค์
ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างมองที่สถานการณ์เท่านั้น แต่ให้มองไปที่พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ จงมีความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงเป็นขึ้นจากความตาย และจงเรียนรู้จักพระองค์จากเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับเรานั้นเพื่อเราจะได้รู้จักกับพระเจ้าอย่างแท้จริง

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

พ่อผู้เป็นที่รัก


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2011

พระธรรม ลูกา 15:11-24
จากเรื่องราวของบุตรน้อยหลงหายที่เรารู้จักกันดีนั้น อีกด้านหนึ่งเราได้เห็นบุคคลหนึ่งที่เราเห็นคือพ่อ ซึ่งมีความพิเศษไม่เหมือนใครในเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพี่ชายคนโต หรือว่าเพื่อนฝูงของบุตรน้อยหลงหาย หรือชาวเมืองที่เขาไปอาศัยอยู่ รวมทั้งคนงานของพ่อ ความพิเศษที่ไม่เหมือนใครนี่เอง ทำให้เราสามารถเรียกท่านได้ว่า พ่อผู้เป็นที่รัก ท่านเป็นคนพิเศษอย่างไร เราสามารถเห็นได้จากพระธรรมตอนนี้ อย่างน้อย 4 ประการ คือ

1. ให้ความรัก (ลก.15:20)
หลังจากที่บุตรน้อยได้รับมรดกในส่วนที่เป็นของตนแล้วก็ได้ออกจากบ้านไป นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาผมเชื่อว่าพ่อคนนี้ไม่เคยนอนหลับเต็มอิ่ม ไม่เคยมีความสุข จิตใจภายในคิดคำนึงหาแต่ลูกของตน มีแต่ความสงสัยในจิตใจว่า เขาจะอยู่อย่างไร กินอย่างไร ตอนนี้ทำอะไรอยู่ ตั้งหน้าตั้งตารอคอยว่าเมื่อไหร่ลูกจะกลับมาหา เราสามารถเห็นได้จากพระคัมภีร์ตอนนี้ที่บอกว่า แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาแลเห็นเขา ซึ่งบ่งบอกให้เรารู้ว่า พ่อคนนี้คอยมองหาอยู่เสมอเมื่อเห็นแล้วก็รีบวิ่งออกไปกอดคอแล้วก็จุบเขาด้วยความรัก พระคัมภีร์ยังบอกในข้อ 24 อีกว่า เพราะว่าลูกของเราคนนี้ตายแล้ว แต่กลับเป็นอีก หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก” เขาเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ เสียไปแล้วได้คืน พ่อผู้ให้ความรักกับลูกเสมอ ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร พระคัมภีร็ได้บอกว่า บุตรคนนี้ได้พลาญสมบัติที่พ่อมอบให้จนหมด แล้วจึงกลับมาหาพ่อ แท้จริงแล้วเรามีอีกคนหนึ่งที่รักเรามากกว่าพ่อของเราอีก นั่นคือพระบิดา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์พระองค์ทรงรักเราอย่างมากเพราะว่าขณะที่เรายังเป็นคนบาปพระองค์ได้ทรงตายเพื่อเรา (รม.5:8) พระองค์รักเราอย่างไม่มีเงื่อนไข ซึ่งต่างจากความรักของพ่อเราในโลกนี้

2. ให้ความเมตตา (ลก.15:20)
นอกจากให้ความรักแล้วยังให้ความเมตตากับเราอีก พระคัมภีร์บอกว่า บิดาแลเห็นเขาก็มีความเมตตา เมื่อพ่อเห็นสภาพของลูกแล้วเกิดความเมตตาสงสาร คงเห็นสภาพเนื้อตัวมอมแมม เสื้อผ้าคงจะขาดวิ้น กลิ่นขี้หมูคงจะเหม็นหึ่ง ทำให้หัวใจของพ่อยิ่งเกิดความรักความเมตตาสงสารมากขึ้นไปอีก นี้คือหัวใจของพ่อผู้เป็นที่รัก พระเจ้าพระบิดาพระองค์ทรงเมตตาเราทั้งหลายอย่างมาก พระองค์ทรงเหยียบความผิด และเหวียงบาปของเราไปลงทะเลลึก (มีคาห์ 7:18-19) เมื่อพระเยซูเห็นประชาชนก็ทรงสงสารเขา ด้วยเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่ง (มธ.9:36) พระเจ้าทรงมองดูเราอยู่เสมอด้วยความเมตตาของพระองค์ และพร้อมที่จะช่วยเหลือเรา หนุนใจเรา ปลอบประโลมใจเราในยามที่เราทุกข์ยาก พระเมตตาคุณของพระองค์ไม่เคยหมดไปจากชีวิตของเรา นี้คือพ่อผู้เป็นที่รัก

3. ให้อภัย (ลก.15:21-22)
ไม่เพียงแต่ให้ความรัก ความเมตตา พ่อยังให้อภัยในสิ่งที่ลูกได้ทำเอาไว้ ไม่ว่าลูกจะเป็นเช่นไร พ่อก็ให้อภัยได้เสมอเมื่อลูกกลับใจ ไม่ว่าลูกจะทำผิดร้ายแรงแค่ไหน หรือมากเพียงไรพ่อก็พร้อมที่จะให้อภัยกับลูกได้ขอเพียงลูกสำนึกได้ก็พอ ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่จะใจดำเกินกว่าที่จะให้อภับกับลูกได้เมื่อลูกสำนึกในความผิดที่ได้กระทำลงไป พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งการให้อภัย เมื่อเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ผู้ทรงสัตย์ซื่อก็จะทรงยกความผิดบาปให้กับเราเสมอ (1ยน.1:9) พระเจ้าไม่เคยจดจำความผิดของเราเมื่อพระองค์ยกโทษให้แล้ว การยกโทษของพระองค์ไม่มีจำกัด ทุกครั้งที่เรากลับใจมาหาพระองค์ พระองค์ก็จะทรงยกโทษให้กับเราเจ็ดครั้งคูณด้วยเจ็ดสิบ (มธ.18:21-22) เมื่อพระเจ้ายกโทษให้กับเรา เราก็ควรที่จะยกโทษให้กับคนอื่นด้วยเช่นกัน เราไม่ควรที่จะจดจำความผิดของคนอื่นด้วย

4. ให้สิ่งที่ดีที่สุด (ลก.15:21-22)
ไม่เพียงแต่ให้อภัย พ่อผู้เป็นที่รักยังให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูก เมื่อลูกกลับมาหา พ่อก็ได้สั่งให้คนรับใช้ไปเอาเสื้อผ้าที่ดีที่สุดมาสวมใส่ให้กับลูก เอาแหวนมาสวมนิ้วมือให้กับเขา เอาลูกวัวอ้วนพีมาฆ่าเลี้ยงกัน สิ่งต่างๆเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าพ่อเป็นผู้ที่รักนั้น ให้สิ่งที่ดีที่สุดให้กับเรา แม้ว่าลูกจะไม่อยากได้ก็ตาม พ่อไม่ได้ดูว่าลูกทำผิดหรือไม่ พ่อมีสิ่งที่ดีให้กับลูกเสมอ เหมือนคำอุปมาของพระเยซูที่บอกว่า พ่อผู้เป็นคนบาปยังรู้จักให้ของดีกับบุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรณ์จะประทานของดีกับผู้ที่ขอต่พระองค์ (มธ.7:9-11) พระเจ้าได้จัดเตรียมสิ่งที่ดีไว้ให้กับเรา เพียงแต่เรากลับมาหาพระองค์และขอจากพระองค์เท่านั้น พระองค์เตรียมสิ่งประเสริฐกว่านั้นให้กับเราอีกนั่นคือชีวิตนิรันดร์ (ฮบ.11:40)
พ่อผู้เป็นที่รัก ที่แสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นอย่างไร พ่อยังคงเป็นพ่อของเราเสมอและยังเป็นพ่อที่รักเรา เมตตาเรา ให้อภับเรา ไม่ว่าวันเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไรพ่อก็ยังคงเป็นพ่อคนเดิม เป็นพ่อที่ได้จัดเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเรา แม้ว่าอาจจะไม่ดีเท่าคนอื่น แต่พระบิดาของเรามีสิ่งดีมากมายที่รอเราทั้งหลายอยู่ จงกลับมาหาพระบิดาของเรา เข้ามาหาพระองค์และรับพระพรจากพระองค์

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

ฉันตัดสินใจแล้ว


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน 2011

พระธรรม มัทธิว 8:18-22
หลังจากที่พระเยซูได้ลงจากภูเขา และเสด็จไปตามที่ต่างๆ ได้ทำการอัศจรรย์รักษาคนโรคเรื้อน รักษาคนง่อยซึ่งเป็นบ่าวของนายร้อย อาการป่วยของแม่ยายเปโตร และคนอื่นๆอีกมากมาย ชื่อเสียของพระองค์ก็เป็นที่เลื่องลือออกไป คนมากมายได้มาหาพระองค์ เราสามารถแบ่งกลุ่มคนที่มาหาพระองค์ได้ 3 กลุ่ม คือ ประชาชน ที่มารับการช่วยเหลือและมาดูการอัศจรรย์ ธรรมาจารย์ ซึ่งมาคอยจับผิดว่าพระองค์ทำอะไรผิดจากสิ่งที่พวกเขาทำบ้าง และศิษย์ของพระเยซูเอง ซึ่งศิษย์เหล่านี้ก็คือสาวกของพระองค์ ที่ได้ติดตามพระองค์มาเป็นเวลาพอสมควร เราเห็นคำสำคัญคำหนึ่งในพระธรรมตอนนี้ คือคำว่า ตาม ซึ่งปรากฎอยู่ในข้อ 19 และข้อ 22 ซึ่งเป็นคำกล่าวของธรรมาจารย์และของพระเยซู ซึ่งทำให้เรารู้ว่า การที่จะติดตามพระองค์ไปนั้นจะต้องตัดสินใจ และการตัดสินใจในที่นี้นั้น อาจจะไม่เหมือนการตัดสินใจในเรื่องอื่นๆ ดังนี้

1. พร้อมเผชิญกับทุกสิ่ง (มธ.8:19-20)
มีธรรมาจารย์คนหนึ่งมาดูพระเยซูทำการอัศจรรย์ต่างๆ เหมือนกับธรรมาจารย์คนอื่นๆ แต่ธรรมาจารย์คนนี้แตกต่างจากธรรมาจารย์คนอื่นๆ ตรงที่ เขาเข้ามาหาพระเยซูแล้วบอกกับพระองค์ว่า ท่านไปทางไหน ข้าพเจ้าจะตามท่านไปทางนั้น สิ่งที่ธรรมาจารย์คนนี้พูดออกไปนั้น อาจจะเป็นเพราะว่าเขาได้เห็นการอัศจรรย์ที่พระองค์ทำและตื่นเต้นไปกับสิ่งที่ได้เห็น อาจจะไม่ได้มาจากความศรัทธาอย่างกันนายร้อย เมื่อพระเยซูได้ยินดังนั้น จึงกล่าวว่า หมาจิ้งจอกยังมีโพรง นกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ การพูดของพระเยซูตอนนี้นั้น เป็นการกระตุกความคิดของธรรมาจารย์ หรือเป็นการถามว่าท่านคิดดีแล้วหรือ  หนทางข้างหน้าไม่ได้สะดวกสบายอย่างที่คิด จะต้องเอาชนะตัวเองก่อน (มก.8:34) พระเยซูไม่ได้สัญญาว่าจะมีแต่ความสุขสบาย แต่จะต้องประสบกับความทุกข์ยากในโลกนี้ (ยน.16:331)  แต่พี่น้องที่รักเราไม่ต้องวิตกกังวล เพราะว่าเมื่อพระองค์ให้เราเผชิญกับปัญหาใดๆ พระองค์ก็มีทางออกให้กับเราเสมอ พระองค์เป็นพระเจ้าที่ชนะโลกนี้แล้ว ให้เราพร้อมที่จะเผชิญกับทุกสิ่ง

2. ไม่ลังเล (มธ.8:21-22)
มาถึงพระคัมภีร์ข้อนนี้ พระเยซูได้ตรัสตอบสาวกคนนี้ว่า จงตามเรามาเถิด ปล่อยให้คนตายฝังคนตายของเขาเองเถิด การที่พระเยซูตรัสเช่นนี้ไม่ใช่เพราะพระเยซูไม่เห็นคุณค่าของบิดามารดา ตรงข้ามพระเจ้าสอนให้เราให้เกียรติแก่บิดามารดาด้วยซ้ำ (อพย.20:12) แต่พวกธรรมาจารย์มักจะสอนว่า สิ่งใดของข้าพเจ้าซึ่งอาจเป็นประโยชน์แก่นท่าน สิ่งนั้นเป็นโกระบาน ซึ่งแปลว่าเป็นของถวายแด่พระเจ้าแล้ว นั่นหมายความว่า พ่อแม่ก็ไม่มีสิทธิ์ (มก.7:11) เมื่อเราตัดสินใจเดินติดตามพระเจ้าแล้วเราไม่ควรโลเลหรือลังเล เมื่อเราตัดสินใจแล้วเราควรมุ่งไปข้างหน้า เหมือนชาวนาเมื่อจับคันไถแล้วจะไม่หันหลังกลับ (ลก.9:62)
เมื่อตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจงมั่นใจในพระเจ้าที่ได้ทรงเรียกเรามา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจงไว้วางใจในพระเจ้าผู้ทรงใหญ่ยิ่งสูงสุด พระองค์ทรงชนะโลกนี้แล้ว พระองค์จะทรงนำเราทุกย่างเท้าที่เราก้าวเดิน พร้อมที่เผชิญกับทุกสิ่ง และไม่ลังเล เพราะว่าพระเจ้าทรงอยู่ท่ามกลางเราและจะช่วยเราเสมอ

ขอพระเจ้าอวยพรครับ