26 เมษายน 2554

พระคุณซ้อนพระคุณ

สวัสดีครับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่่ติดตามข่าวสารด้วยดีเสมอมา
ผมต้องขออภันที่ไม่ได้อัพเดทข้อมูลข่าวสารต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ได้สรุปคำเทศนามาลงในบล็อกนี้หลายสัปดาห์แล้ว วันนี้ผมจะมาแบ่งปันเรื่องที่ผมได้ยินมาให้อ่านกันครับ


                เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้ฟังคำพยานของพี่น้องสตรีท่านหนึ่งได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอที่ประเทศออสเตเลีย เป็นเรื่องที่ตื่นเต้นและน่าตกใจ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2009 ที่ผ่านมา ผมขอแบ่งปันให้อ่านกันบางช่วงบางตอนครับ (สามารถที่ฟังคำพยานของเธอได้ที่ www.churchofpeace2010.org)


                พี่น้องสุภาพสตรีท่านนี้เรียกตัวเองว่า "น้องแม้ม" เป็นลูกสาวของพี่นิด เป็นพี่น้องคริสเตียนของเรา พี่นิดเป็นคนที่รักพระเจ้า แต่น้องแม้มไม่ได้เชื่อพระเจ้า พี่นิดก็ได้เเต่เฝ้าอธิษฐานเผื่อลูกสาวอยู่เสมอ พี่นิดเดินทางไปตั้งรกรากอยู่ที่ประเทศนอร์เวย์ ส่วนน้องแม้มอยู่ที่ประเทศไทย
            
                อยู่มาวันหนึ่งน้องแม้มตัดสินใจขายรถยนต์ส่วนตัวของเธอและรวบรวมเงินทั้งหมดที่มีไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตเลีย การดำเนินการทุกอย่างราบรื่น ไม่มีอุปสรรคปัญหาใดๆ ที่จะมาขัดขวางจนทำให้ความตั้งใจที่จะเดินทางไปเรียนต่อของเธอต้องมีอันเป็นไป เอกสารทุกอย่างผ่าน วีซ่าก็ผ่าน ตัวเธอเองก็พร้อมที่จะเดินทางไปเรียนต่อตามความฝันของเธอ


               การเดินทางของเธอราบรื่น ทั้งระหว่างการเดินทางและการตรวจลงตราเข้าเมื่อง น้องแม้มก็ได้เรียนตามที่ตั้งใจไว้ และแล้วชีวิตในประเทศออสเตเลียของเธอก็ไม่ง่ายหรือว่าสะดวกสบายเหมือนตอนอยู่ที่เมืองไทย  เธอต้องต่อสู้กับหลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะกับตัวเธอเอง เธอต้องปรับตัวอย่างมากให้เข้ากับสถานที่ใหม่ สภาพเเวดล้อมใหม่ เพื่อนใหม่ วัฒนธรรมใหม่ การเรียนก็หนัก การบ้านก็มาก ญาติพี่น้องก็ไม่มี เธอเหมือนอยู่คนเดียวจริงๆ เวลาผ่านไปไม่นาน เธอเริ่มเกิดความท้อใจ และตัดสินใจว่าเลิกเรียนดีกว่า


               เธอจึงตัดสินใจกลับประเทศไทยเพื่อจะกลับมาตั้งหลักก่อนว่าต่อไปเราจะทำอย่างไรดี ขณะที่เธอเรียนอยู่ที่ประเทศออสเตเลียนั้น เธอได้รู้จักกับเพื่อนนักศึกษาหญิงคนหนึ่ง (ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ) เป็นคนอินเดีย (ซึ่งเธอบอกว่าครอบครัวของเธอชอบคนอินเดีย ผมสังเกตดูหน้าตาของเธอก็คล้ายคนอินเดียเหมือนกันนะ) ได้ติดต่อกับเธอบอกว่าให้ไปเที่ยวที่ประเทศอินเดียสิ เพื่อเป็นการพักผ่อน เธอบอกว่าน้องแม้มว่าจะพาเที่ยวและจะดูแลเธอเอง ด้วยพิ้นฐานที่ชอบคนอินเดียอยู่แล้วเธอจึงตัดสินใจเดินทางไปเที่ยวประเทศอินเดียตามคำชวนของเพื่อน


              ขณะที่กำลังท่องเที่ยวอยู่กับเพื่อนของเธอที่ประเทศอินเดีย น้องแม้มก็ตัดสินใจว่า เพื่ออนาคตที่ดีของเธอเอง เธอจะกลับไปเรียนต่อที่ออสเตเลียให้จบตามที่เธอฝันไว้ และเพื่อทำให้คุณแม่ชื่นใจและภาคภูมิใจในตัวเธอ เพื่อนชาวอินเดียของน้องแม้มจึงพูดกับเธอว่า จะกลับไปเรียนต่อที่ออสเตเลียหรือ ดีจังเลยเพราะอยากจะฝากผ้าสาหลีไปให้เพื่อนที่อยู่ที่นั่นจะได้หรือเปล่า น้องแม้มก็บอกว่าได้ไม่มีปัญหา เพราะว่าขณะที่อยู่ที่อินเดีย เพื่อนชาวอินเดียของน้องแม้มคนนี้ดูแลเป็นอย่างดี เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจเพื่อน เพื่อนชาวอินเดียก็บอกว่าเมื่อไปถึงแล้วเพื่อนของเธอจะมารับของฝากที่สนามบินเลยน้องแม้มจะได้ไม่ต้องลำบาก เมื่อน้องแม้มได้รับกระเป๋าที่บรรจุผ้าสาหลีที่เป็นของฝาก เธอก็เปิดกระเป๋าดูก็พบว่าภายในกระเป็นมีผ้าสาหลีอยู่ประมาณ 9 ผืน เธอก็เอากระเป๋าของฝากนั้นเดินทางไปออสเตเลียด้วยเพื่อจะนำไปให้กับเพื่อนของเพื่อนชาวอินเดียอีกทีหนึ่ง


               เมื่อน้องแม้มเดินทางมาถึงประเทศออสเตเลียด้วยความราบรื่น เมื่อมาถึงสนามบินน้องแม้มก็แจ้งสำแดงสิ่งของต่างๆ ที่เธอนำติดตัวมาด้วยทั้งหมดในเอกสารการเดินทางเข้าประเทศเหมือนครั้งที่ผ่านมา เธอคิดว่าเราเอาอะไรมาก็บอกให้หมดจะได้ไม่มีปัญหามานั่งสอบถามว่าในกระเป๋ามีอะไรบ้าง หรือว่า เอาอะไรที่เป็นของห้ามนำเข้ามาด้วยหรือเปล่า (คนที่เดินทางต่างประเทศมักจะถูกถามอย่างนี้เสมอ โดยเฉพาะประเทศออสเตเลียจะถูกตรวจสอบมากเป็นพิเศษ)


               การตรวจเอกสารลงตราครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งที่แล้ว ใช้เวลานานกว่าครั้งที่แล้วมาก และในที่สุดน้องแม้มก็ถูกเชิญให้เข้าไปในห้องๆ หนึ่ง ในห้องนั้นมีเจ้าหน้าที่รออยู่และได้สอบถามน้องแม้ม หลายคำถาม เช่น ถามว่ามาที่ประเทศออสเตเลียทำไม มาจากประเทศอะไร เอาอะไรมาบ้าง เอาของผิดกฎหมายมาด้วยหรือเปล่า น้องแม้มก็ตอบไปตามความเป็นจริงทุกอย่าง เธอก็บอกว่าเธอไม่ได้เอาอะไรที่ผิดกฎหมายเข้ามาในประเทศนี้ ทางเจ้าหน้าที่ก็ถามน้องแม้มอีกครั้งว่า เอายาเสพติเข้ามาด้วยหรือเปล่า เธอก็ตอบว่า ไม่ได้เอาอะไรพวกนั้นมาเลย หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า คุณนำ "เฮโรอีน" ซึ่งเป็นยาเสพติดเข้ามาในประเทศ เธอก็ตอบยืนยันอย่างหนักแน่นอีกครั้ง ว่าเธอไม่ได้เอาอะไรพวกนั้นเข้ามา


              ในวินาทีนั้นเอง เธอทำอะไรไม่ถูก มันมืดไปแปดด้าน มันสับสนไปหมด เธอก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้กับเจ้าหน้าที่ฟังว่า กระเป๋าของฝากซึ่งภายในบรรจุผ้าสาหลีที่เธอถือเข้ามานั้น มีที่มาและที่ไปอย่างไร แต่เธอก็ไม่สามารถจะตอบได้ว่าใครจะเป็นคนมารับกระเป๋า (ซึ่งภายในซุกซ่อนเฮโรอีนหนัก 1500 กรัม) ก็ยิ่งทำให้เจ้าหน้าที่ปักใจเชื่อว่า น้องแม้มเป็นผู้นำเฮโรอีนเข้าประเทศมาอย่างแน่นอน เพราะว่าไม่สามารถบอกได้ว่าใครจะมารับกระเป๋าใส่ผ้าสาหลีใบนั้น


               พระเจ้าผู้ไม่เคยทอดทิ้ง ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังสอบถามเธออยู่นั้นก็มีเสียโทรศัพท์ดังขึ้นที่โทรศัพท์มือถือของเธอ เจ้าหน้าที่ก็ให้เธอรับโทรศัพท์ (และทำการบันทึกเสียงการสนทนาระหว่างเธอกับเพื่อนของเธอเอาไว้ด้วย) เมื่อน้องแม้มรับโทรศัพท์ก็ปรากฎว่าเป็นเพื่อนชาวอินเดีย (ต้องเรียกว่าเพื่อนตัวแสบ) ของเธอเป็นคนโทรเข้ามาหา เพื่อสอบถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง น้องแม้มก็เลยถามด้วยความโมโห้ว่า ถามจริงๆ เถอะในกระเป๋ามีอะไรบ้าง ทำไมไม่มีใครมารับกระเป๋า เสียเวลารออยู่นานมากแล้ว เพื่อนสาวของเธอก็ตอบว่าไม่มีอะไร นอกจากผ้าสาหลีที่เธอเห็นนั่นแหละ แต่ที่เพื่อนยังไม่มารับกระเป๋าก็เพราะว่าเพื่อนของเธอติดธุระไม่สามารถมารับได้ และเพื่อนชาวอินเดียก็ขอร้องให้น้องแม้มเอากระเป๋าไปส่งให้กับเพื่อนของเธอที่โรงแรมภายหลัง ขอให้เธอเก็บกระเป๋านั้นเอาไว้ก่อน


               หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่เริ่มสัมผัสได้ว่าน้องแม้มไม่รู้เห็น หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการขนเฮโรอีน เจ้าหน้าที่จึงได้พูดกับน้องแม้มว่า แต่เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า น้องแม้มไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเฮโรอีนนี้ เธอจะร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เพื่อจับกุมคนที่จะมารับกระเป๋านี้หรือเปล่า น้องแม้มก็รีบตอบรับทันทีว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ยินดีที่จะร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ทุกอย่าง เพราะว่าไม่ได้รู้เห็นเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เลย


               แต่กว่าจะจับคนมารับกระเป๋าได้ ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและน้องแม้มก็ใช้เวลาอยู่หลายสัปดาห์กว่าจะจับตัวได้ อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าตำรวจก็ยังต้องคุมตัวน้องแม้มเอาไว้ เพื่อทำการสอบสวนขยายผลต่อไป น้องแม้มต้องเข้าไปอยู่ในคุกเป็นเวลา 8 เดือน


               ขณะที่อยู่ในคุกเธอได้แจ้งข่าวนี้ให้กับคุณแม่ของเธอ คุณแม่ของเธอได้แจ้งข่าวนี้ให้กับพี่น้องคริสเตียนอธิษฐานวิงวอนกับพระเจ้าขอให้ช่วยน้องแม้มด้วย ช่วงเวลาที่น้องแม้มเข้าไปอยู่ในเรือนจำใหม่ๆ นั้นน้องเธอเล่าว่า กินไม่ได้ นอนไม่หลับ มีแต่ความเครียด ความวิตกกังวล น้ำหนักเริ่มลดลงๆ


               อยู่มาวันหนึ่งมีมิชันนารีเข้าไปประกาศในคุกที่เธอถูกควบคุมตัวอยู่ มิชันนารีได้เป็นพยานให้กับเธอ เธอได้สัมผัสถึงความรัก ความอบอุ่นที่พระเจ้าทรงมอบให้กับเธอ เธอเริ่มอ่านพระคัมภีร์ จากเริ่มแรกอ่านไม่รู้เรื่อง ยิ่งอ่านมากเท่าไหร่ก็เริ่มรู้สึกว่าสนุก และท้ายอย่างมาก สันติสุขก็เริ่มเข้ามาครอบครองจิตใจของเธอ เธอจึงตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ในวันนั้น


               ขณะเดียวกันที่พวกเราอธิษฐานเผื่อน้องแม้ม มิชันนารีได้ส่งเมล์ไปให้กับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ตามสายสัมพันธ์ที่อยู่ทั่วโลกให้อธิษฐานเผื่อน้องแม้มด้วย


               ในที่สุดพระคุณและความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าก็มาถึงชีวิตของน้องแม้มอีกครั้งหนึ่ง เมื่ออัยการ ได้พิจารณาตัดสินให้กันน้องแม้มออกมาเป็นพยาน และได้ปล่อยตัวน้องแม้มออกจากคุกเมื่อประมาณเดือนเมษายน 2010 นับเป็นเวลา 1 ปีพอดีที่น้องแม้มได้รับอิสระภาพ ตลอดช่วงเวลา 1 ปี ที่ผ่านมาน้องแม้มกับคุณแม่เดินสายเป็นพยานขอบคุณพระเจ้าสำหรับความยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงกระทำในชีวิตของเธอ


               คุณแม้มของน้องแม้มพูกกับผมฟังว่า "คุ้มจริงๆ" สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับน้องแม้มในครั้งนี้ เพราะว่าทำให้ลูกสาวอันเป็นที่รักยิ่งได้มารู้จักพระเจ้าและถวายตัวให้กับพระเจ้า


               วันนี้ที่ผมกำลังเขียนเรื่องของน้องแม้มอยู่นั้น เธอกำลังเดินทางกับไปที่ประเทศออสเตเลีย เพื่อขึ้นเป็นพยานให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อยืนยันว่า ผู้ต้องหาที่ถูกจับได้นั้น เป็นคนมารับกระเป๋าที่มีเฮโรอีนซุกซ่อนอยู่เพื่อเป็นพยานบุคคลมัดผู้ต้องหาไม่ให้ดิ้นหลุดไปได้


               ผมอยากฝากให้พี่น้องอธิษฐานเผื่อน้องแม้ม ขอให้พระเจ้าปกป้องเธอไว้ให้ปลอดภัยจากทุกสิ่งทุกอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขอพระเจ้าช่วยให้เธอรอดพ้นจากการคุกคามของแก๊งค์ค้ายาเสพติดด้วย เพื่อเธอจะสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ และสามารถกลับไปทำความฝั่นของเธอให้สำเร็จ


               จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับน้องแม้ม สาวน้อยผู้ตั้งใจดีคนนี้ ผมอยากจะเตือนสติ (ความจริงอยากจะใช้คำว่า "สั่ง" ด้วยซ้ำไป แต่เกรงใจ) เวลาไปไหนมาไหน ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปต่างประเทศ หรือว่าในประเทศ หรือตามสถานที่ต่างๆ ถ้ามีคนที่เราไม่รู้จักมาบอกให้เราช่วยถือกระเป๋า หรือว่าช่วยถือของให้หน่อย อย่าได้ช่วยเป็นอันขาด ถ้าหากต้องการช่วยให้ช่วยไปแจ้งให้กับเจ้าหน้าที่ประจำสนามบินให้ไปช่วยแทน หรืออาจจะมีคนที่ดูหวังดีกับเราอย่างมาก จะมาช่วยถือของให้กับเรา ก็อย่าให้เขาช่วยถืออย่างเด็ดขาด เพราะเราอาจจะกลายเป็นเหยื่อโดยที่ไม่รู้ตัว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น