09 พฤศจิกายน 2555

ช่วยอย่างพระเยซู


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2012
พระธรรม มัทธิว 14:13-231

เมื่อพระเยซูทราบข่าวเรื่องยอห์นซึ่งเป็นทั้งญาติสนิทและเป็นเพื่อนที่รับใช้พระเจ้าด้วยกันเสียชีวิต พระองค์สะเทือนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับยอห์น พระเยซูต้องการจะหาที่พักสงบและอธิษฐานกับพระบิดา พระองค์เดินทางไปยังที่หนึ่ง แต่เมื่อประชาชนทราบว่าพระเยซูกำลังไปที่ใด พวกเขาก็พากันมารอพบพระองค์ เพื่อจะฟังคำสอนและให้พระองค์รักษาคนเจ็บคนป่วยให้หาย เมื่อพระเยซูเห็นความต้องการของคนที่มาหา พระองค์ มีความต้องการความช่วยเหลือ พระองค์ไม่ได้บอกให้คนเหล่านั้นรอก่อน หรือบอกกับพวกเขาว่า พระองค์ขอพักสักหน่อยก่อน แต่พระคัมภีร์ได้บอกว่า พระองค์ทรงสงสารเขาจึงได้รักษาคนป่วยของเขาให้หาย นี่คือหัวใจของพระเยซูที่สะท้อนออกมาให้เห็น เป็นการช่วยคนอื่นที่ลำบากกว่า เราเห็นสิ่งที่พระเยซูช่วยคนเหล่านั้นอย่างไรบ้าง
1.ช่วยด้วยใจเมตตา (ข้อ13-14)
พระคัมภีร์บอกว่า “พระองค์ทรงสงสารเขา” การช่วยของพระเยซูมาจากใจที่มีความเมตตาสงสาร ไม่ได้มาจากหน้าที่ แม้พระองค์จะมาเพื่อช่วยคนทั้งหลายก็จริง แต่พระองค์ไม่ได้ทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นด้วยรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ แต่ทำด้วยหัวใจที่รู้สึกสงสาร ที่เห็นความทุกข์ยาก เห็นความเจ็บป่วย เห็นความทรมานของคนเหล่านั้น ความสงสารที่พระเยซูมีนั้นมากกว่าความสะเทือนใจที่พระองค์ได้รับจากเหตุการณ์ของยอห์น พระเยซูได้เสียสละตัวเองเพื่อช่วยคนอื่นก่อน แบบอย่างของพระเยซูถูกถ่ายทอดมาถึงอาจารย์เปาโล จนทำให้อาจารย์เปาโลเสียสละด้วย ท่านกล่าวว่า ท่านยอมเสียสละ เพราะข่าวประเสริฐ (ฟป.3:8) ดังนั้นการที่เราจะช่วยเหลืออะไรใครให้เราช่วยด้วยใจที่เมตตาสงสารเหมือนพระเยซู เพราะสิ่งที่เราทำลงไปจะไม่สูญเปล่า พระเจ้าจะทรงจดจำสิ่งที่เราทำเอาไว้ (1คร.15:58) อาจารย์เปาโลบอกว่า ให้เราทำทุกสิ่งด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ด้วยการฝืนใจ (2คร.9:7) ดังนั้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไปให้เรารับเอาใจเมตตาของพระเยซูเข้ามา
2.ช่วยมากกว่าที่ขอ (ข้อ15-16)
ประชาชนเหล่านั้นที่มาหาพระเยซูเพื่อต้องการได้ยินคำสอนและการรักษาโรคจากพระเยซู คนเหล่านั้นไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านั้นอีกแล้ว เพราะพวกเค้ารู้ว่าการที่ได้ยินสิ่งที่พระเยซูสอนพวกเค้าก็มากพอสำหรับเขาแล้ว ทำให้พวกเขามีความสุขและมีความอิ่มเอมใจมากพอแล้ว แต่สาวกของพระเยซูก็มาบอกว่าเวลานี้ก็เย็นมากแล้ว ขอให้พระเยซูปล่อยให้พวกเขากลับบ้านไปเถอะ เพราะว่าที่นี่กันดานอาหาร พระเยซูจึงได้บอกให้สาวกเลี้ยงอาหารคนเหล่านั้น ซึ่งนับเฉพาะผู้ชายได้ 5000 คน พระเยซูช่วยคนเหล่านั้นมากกว่าที่พวกเขาคาดหวัง ช่วยในสิ่งที่จำเป็น ช่วยในเวลาที่เหมาะสม พระองค์ทำมากกว่าที่คิด พระเยซูสอนให้เราช่วยคนให้มากกว่าที่เขาขอจากเรา (มธ.5:40-42) เราต้องไวต่อความต้องการของคนอื่น เราต้องสังเกตและสนใจในความต้องการของคนอื่น เพื่อเราจะได้ช่วยเขาได้โดยไม่ต้องให้เขาร้องขอจากเรา
3.มองที่ความต้องการ (ข้อ17-21)
พวกสาวกมาบอกพระเยซูว่ามีแค่ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว สาวกคงคิดว่าอาหารแค่นี้จะพออะไรสำหรับคนตั้งมากมายขนาดนี้ เงินก็ไม่มีจะไปซื้ออาหาร แม้มีเงินก็ไม่รู้จะไปซื้อที่ไหน เพราะคงไม่มีใครเตรียมเอาไว้อย่างแน่นอน สาวกมองดูที่ความจำกัดของตัวเอง แต่พระเยซูมองที่ความต้องการของคนเหล่านั้น ซึ่งสิ่งที่พระเยซูมองเห็นต่างกับสิ่งที่สาวกมองเห็น เราต้องฝึกที่จะมองแบบพระเยซู มองที่ความต้องการไม่ใช่มองที่ความจำกัด เพราะพระเจ้าของเราไม่จำกัด อย่าติดอยู่ที่ความจำกัดของตัวเอง ในพระเจ้ามีทางออกเสมอ เราต้องพัฒนาความคิดของเราและเปลี่ยนให้ถูกต้อง พระเจ้าสามารถทวีคูณสิ่งที่เรามีอยู่ได้ จงมีความเชื่อ จงมองดูที่พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุด
4.ช่วยจนถึงที่สุด (ข้อ22-23)
ไม่เพียงแต่พระเยซูจะรักษาโรคให้เขา เทศนาสั่งสอน หนุนใจ ให้กำลังใจ เลี้ยงอาหารพวกเค้าแล้ว พระเยซูยังทำมากกว่านั้นอีก คือยืนส่งคนเหล่านั้นที่กินอาหารเสร็จแล้วกลับบ้านจนหมด พระองค์ไม่ได้บอกกับคนเหล่านั้นว่า เมื่อท่านทั้งหลายกินเสร็จแล้วก็กลับบ้านไปนะ เราจะไปพักผ่อนแล้ว พระองค์ไม่ได้กล่าวและทำเช่นนั้น พระองค์ส่งสาวกของพระองค์ไปพักผ่อนก่อน เพราะว่าพวกเขาเหนื่อยมามากแล้ว พระองค์รอส่งประชาชนจนหมด พระองค์ทำอย่างดีที่สุด ช่วยจนถึงที่สุด ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นภาระหนัก แล้วจึงขึ้นไปแสวงหาพระเจ้า อธิษฐานกับพระบิดาของพระองค์ พระเยซูรู้ว่าอาหารนั้นจำเป็นสำหรับร่างกาย จิตวิญญาณก็สำคัญ จึงบอกแก่เราว่า ให้เราแสวงหาอาหารนิรันดร์ด้วย (ยน.6:27) อย่างมัวแต่ที่จะช่วยคนในฝ่ายกายภาพเท่านั้น จงช่วยเหลือคนในฝ่ายวิญญาณด้วย จงช่วยทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ
ดังนั้นเราต้องขอให้เรามีวิญญาณ มีหัวใจเหมือนพระเยซูคริสต์ในการที่จะช่วยคนอย่างที่พระเยซูทำ ทำอย่างดีที่สุด ด้วยใจที่เมตตา ช่วยมากกว่าที่ขอ มองที่ความต้องการ ช่วยจนถึงที่สุด

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น