03 ตุลาคม 2554

สัญญา


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน 2011

พระธรรม เนหะมีย์ 9:38-10:39

เมื่อเนหะมีย์ได้พาพี่น้องสร้างกำแพงเยรูซาเล็มที่ปรักหักพังขึ้นมาใหม่เสร็จภายใน 52 วัน ซึ่งนับว่าเป็นการใช้เวลาที่น้อยมากเป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ซึ่งนับว่าเป็นการประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ แต่เนหะมีย์คิดว่าความสำเร็จที่แท้จริงนั้น คือการรักษาเอาไว้มากกว่า จึงได้จัดวางกำลังคนในการดูแลรักษา การจัดวางกำลังคนเพื่อเป็นการรักษากำแพงเพื่อไม่ให้ศัตรูบุกเข้ามาได้ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือฝ่ายวิญญาณ เนหะมีย์จึงได้วางรากฐานฝ่ายวิญญาณให้กับพวกอิสราเอล โดยการสอนพระวจนะให้กับพวกเค้า ทำการรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับพระเจ้าที่ได้ทรงนำพวกบรรพบุรุษของพวกเค้าออกมาจากการเป็นทาสที่อียิปต์ คนเหล่านั้นได้สำนึกถึงความผิดบาปที่บรรพบุรุษและตัวของพวกเขาเองได้กระทำ เขาตระหนักดีว่า พวกเขาได้ละเลยสิ่งที่พระเจ้าได้บัญชาไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา พวกเข้าจึงตั้งใจที่จะหันกลับมาหาพระเจ้าและทำพันธสัญญากับพระเจ้า ซึ่งเป็นความตั้งใจของชุมชนอิสราเอลทั้งหมดในเวลานั้น เราได้เห็นสิ่งที่เป็นสัญญาหรือพันธสัญญาที่พวกอิสราเอลได้ทำขึ้น มีลักษณะดังนี้
1. เป็นสัญญาที่ทำสองฝ่าย (นหม.9:38ก)
สัญญาที่พวกเขาได้ทำขึ้นนั้นพวกเขาได้ทำออกมาจากใจภายในของพวกเขา ซึ่งเป็นการกระทำกับพระเจ้า สัญญาใดๆก็ตามจะมีผลบังคับใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีคู่สัญญา หรือว่ามีผู้ให้สัญญาฝ่ายหนึ่งกับผู้รับสัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง จึงจะมีผลบังคับใช้ได้ คนอิสราเอลได้ทำสัญญากับพระเจ้าและพระองค์ก็ทรงรับสิ่ที่พวกเขาสัญญาไว้
2. เป็นสัญญาที่มั่นคง (นหม.9:38ก)
การทำสัญญาของอิสราเอลกับพระเจ้านั้น ไม่ได้ทำกันอย่างเล่นๆ หรือไร้ความหมาย เราสังเกตุเห็นได้จากมีการลงนามประทับตราของคนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปุโรหิตหรือผู้นำ สัญญาเมื่อทำแล้วจะไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มีความมั่นคง เพราะว่าเป็นสัญญาที่ทำด้วยใจของทั้งสองฝ่าย
3. เป็นสัญญาที่ชัดเจน (นหม.9:38ข)
สัญญาที่พวกเขาได้กระทำกับพระเจ้านั้นได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร มีการลงรายมือชื่อและประทับตราเอาไว้ ซึ่งมีความชัดเจนว่าพวกคนอิสราเอลมีความตั้งใจอย่างไรในครั้งนี้
4. เป็นสัญญาที่จะไม่อยู่กับความบาป (นหม.10:30)
คนอิสราเอลสัญญาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับความบาปอีก เพราะรู้ว่าความบาปได้แยกพวกเขาออกจากพระเจ้าและได้นำพวกเขาไปสู่ความยากลำบากมากมาย บรรพบุรุษของพวกเขาได้ละเลยสิ่งที่พระเจ้าสอนทำให้พวกเขาต้องได้รับความยากลำบาก
5. เป็นสัญญาที่จะพักสงบในพระเจ้า (นหม.10:31)
พวกเขาตระหนักดีว่าตลดอเวลาที่ผ่านมาพระเจ้าทรงตั้งวันสำหรับพวกเขาให้ได้เข้ามาพักสงบในพระเจ้า เพื่อจะได้มีเวลากับพระเจ้า แต่พวกเขากลับละทิ้งพระเจ้าไป
6. เป็นสัญญาที่จะถวายเพื่อพระนิเวศน์ของพระเจ้า (นหม.10:32-37ก)
พวกเขาได้จับฉลากกันเพื่อว่าใครจะมีส่วนทำอะไรเพื่อพระเจ้าบ้าง พวกเขาพร้อมใจกันที่จะสนับสนุนงานของพระนิเวศน์ ไม่ว่าจะเป็น ขนมบัง ฟืน น้ำมัน แม้กระทั่งทรัพย์
7. เป็นสัญญาที่จะถวายสิบลดอย่างสัตย์ซื่อ (นหม.10:37ข-39ก)
คนอิสราเอล ได้หันกลับมาหาพระเจ้าและตระหนักดีว่าพระเจ้าเป็นผู้ประทานทุกสิ่งให้กับพวกเขา เขาจึงจะนำผลผลิตต่างๆที่พวกเขาหามาได้ ไม่ว่าจะมาจากสัตว์ หรือแผ่นดิน พวกเขาจะนำหนึ่งในสิบมาถวายให้กับพระเจ้า  
 8. เป็นสัญญาที่จะผูกพันกันในชุมชนของพระเจ้า (นหม.10:39ข)
คนอิสราเอลตระหนักดีว่าพวกเขาผ่านอุปสรรค์ต่างๆ ทั้งการขัดขวาง การกล่าวให้ร้าย และงานที่หนักมาก มาถึงวันนี้ได้เพราะว่าความร่วมมือกันของคนในชุมชน ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันเป็นหนึ่งและได้ดต่อสู้กับอุปสรรค์ต่างๆมาด้วยกัน
ถ้าเราต้องการเห็นความสำเร็จเกิดขึ้นท่ามกลางชีวิตของเรา เราต้องดำเนินชีวิตโดยการรักษาสัญญาที่เราทำกับพระเจ้าและพระเจ้าได้ทำกับเรา เราต้องรักษาพระบัญญัติหรือพระวจนะของพระเจ้า ไม่อยู่ในความผิดบาป มีความสัตย์ซื่อ โดยเฉพาะในเรื่องของการถวายสิบลด เพราะเป็นเครื่องพิสูจน์ใจของเราว่าเรารักพระเจ้ามากน้อยเพียงใด

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น