เมื่อวันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2010 ผมกับภรรยาพร้อมด้วยพี่น้องอีก 2 ท่าน ได้เดินทางไปจังหวัดพะเยา เพื่อไปเยี่ยมครอบครัวพี่ชายของพี่น้องท่านหนึ่งในทีมที่เดินทางไปด้วยกัน โดยผมขับรถออกจากกรุงเทพฯเวลาประมาณ 9.30 น ความตั้งใจว่าจะแวะตามจังหวัดต่างๆ โดยเริ่มต้นที่จังหวัดน่านซึ่งเป็น 1 ใน 2 จังหวัดของภาคเหนือที่ผมยังไม่เคยไป ระหว่างทางเราก็แวะทานอาหารไปเรื่อยๆ
เมื่อเดินทางมาถึงจังหวัดน่านเวลาประมาณ 18.00 น สิ่งแรกที่ได้สัมผัสเมื่อมาถึงจังหวัดน่านคือความมืดและอากาศที่หนาวเย็น พวกเราก็เริ่มถามคำถามกันว่าคืนนี้พวกเราจะนอนที่ไหนกัน เพราะว่าเราไม่ได้จองที่พักเอาไว้ พวกเราก็เริ่มขับรถตะเวนหาที่พัก แต่เนื่องจากไม่มีใครเคยมาที่จังหวัดน่านเลย เราจึงไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนจึงจอดรถอยู่ที่ปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งหลัง (คิดว่าเป็น) ศาลากลางจังหวัด ผมนึกถึงเพื่อนผู้รับใช้ท่านหนึ่งที่กรุงเทพฯท่านเคยมาที่จังหวัดน่านหลายครั้งแล้วน่าจะรู้จักจังหวัดน่านและพี่น้องที่น่านบ้างว่าอะไรอยูที่ไหน ผมจึงโทรศัพท์ไปหา ท่านก็กรุณาให้เบอร์โทรศัพท์ของผู้รับใช้ท่านหนึ่งชื่ออาจารย์พิเชรษฐ์มา ท่านบอกว่าคนนี้น่าจะช่วยแนะนำผมได้
ผมจึงโทรไปหาปรากฎว่าท่านไม่อยู่ ภรรยาของท่านรับสาย ผมจึงบอกว่าผมขอคำแนะนำเรื่องที่พักหน่อยครับ เนื่องจากผมพึ่งเดินทางมาถึงที่จังหวัดน่านเป็นครั้งแรก คำถามแรกที่ภรรยาของท่านถามผมคือ คุณเป็นคริสเตียนหรือเปล่า ผมตอบว่าผมเป็นคริสเตียนครับ ภรรยาของท่านจึงพูดสวนมาว่า มาพักที่บ้านก็ได้คะ ผมจึ่งตอบกลับไปว่า ผมเกรงใจครับ เดี๋ยวผมหาที่พักกันก่อน เดี๋ยวผมโทรกลับครับผมจึงวางสาย
ขอบคุณพระเจ้าขณะนั้นรถของเราจอดอยู่ห่างจากโรงแรมเทวราชเพียงไม่กี่สิบเมตร แต่เป็นด้านหลังทำให้เรามองไม่เห็นในตอนแรก พวกเราจึงขับรถเข้าไปที่โรงแรมนั้นเพื่อไปติดต่อสอบถามราคาค่าห้องพัก ปรากฎว่าเราต้องถอยออกมา เพราะว่าราคาค่อนข้างสู้ เนื่องจากว่าเป็นโรงแรมชั้นหนึ่งและเป็นโรงแรมไม่กี่โรงแรมที่อยู่ในตัวเมืองของในจังหวัดน่าน ขณะที่เรากำลังหาโรงแรมกันอยู่นั้นอาจารย์พิเชรษฐ์ ก็โทรกลับมา ท่านก็บอกว่าให้พวกเราไปพักที่บ้านของท่าน ผมก็ตอบกลับไปเช่นเดิมว่าผมเกรงใจ ผมขอหาที่พักกันก่อนครับ เดี๋ยวผมโทรกลับ
พวกเราตะเวนหาที่พักกันหลายที่หลายแห่ง ที่พักบางที่ที่เราจะพักได้ปรากฎว่าเต็ม เช่นที่ถูฟ้าเพลส สะอาด น่าพักมาก ราคาก็ไม่แพง 450 บาทต่อคืนเท่านั้น มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบครัน ตั้งอยู่บนถนนเทวราชนั่นเอง ขณะที่พวกเรากำลังตะเวนหากันอยู่อาจารย์พิเชรษฐ์ก็โทรหาผมอีกหลายครั้ง จนในที่สุดพวกเราก็มาพบกับเกสต์เฮ้าส์หลังหนึ่งมีคนบอกว่าเจ้าของเป็นฝรั่งถูกและดี เมื่อผมขับรถมาจอดหน้าประตูทางเข้าผมยังมองไม่ออกเลยว่านี่คือประตูทางเข้า ภรรยาของผมกับพี่้น้องอีก 2 ท่านก็เข้าไปดู ผมยังไม่ทันที่จะขยับรถเพื่อหลบทางให้รถคันอื่นเสร็จเลยทั้ง 3 คนก็ออกมาบอกว่าไปที่อื่นเถอะ
ขณะนั้นเองอาจารย์พิเชรษฐ์ท่านก็โทรกลับมาหาผมอีกครั้งท่านพูดย้ำคำเดิมว่าให้ไปพักที่บ้านของท่าน ไม่ต้องเกรงใจ พวกเราในรถจึงพูดกันว่านี่ส่งสัยเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าแน่ๆที่จะให้เราไปพักที่บ้านของอาจารย์ พวกเราจึงตกลงไปพักที่นั่น
ท่านอาจารย์พิเชรษฐ์ ท่านกรุณาบอกทางให้และออกมารอรับเราที่ข้างทาง ผมขับรถออกนอกเมืองไปประมาณ 10 กิโลเมตรก็พบกับท่านอาจารย์พิเชรษฐ์จอดรถรอผมอยู่ เมื่อได้พบกันแล้วท่านก็กรุณาขับรถนำพวกเราไปที่บ้านของท่าน จากถนนใหญ่เข้าไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร แต่เป็นทางขึ้นหมู่บ้าน บ้านของท่านตั้งอยู่บนภูเขา อากาศดีมาก
ขณะที่ผมขับรถตามอาจารย์พิเชราษฐ์ไป มีพี่น้องที่นั่งมาด้วยกันในรถถามผมด้วยความเป็นห่วงว่า คนนี้ใช่อาจารย์พิเชรษฐ์หรือเปล่า ผมก็ตอบว่าไม่ทราบครับ ไม่เคยรู้จักและไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลยครับนี่เป็นครั้งแรก ทุกคนในรถก็ถึงกับอึ้งไปหมด เพราะว่าเรากำลังขับรถตามใครไปก็ไม่รู้ แต่ลึกๆในใจผมรู้สึกว่ามีสันติสุขมาก ผมเชื่อว่าพระเจ้าจะให้พวกเราทำอะไรบางสิ่งบางอย่างแน่นอน
เมื่อพวกเราเข้ามาถึงที่บ้านของอาจารย์พิเชรษฐ์ ปรากฎว่าเคยเป็นศูนย์พัฒนาอาชีพที่มิชชันนารีมาทำเอาไว้นับ 10 ปีแล้ว และตอนนี้มิชชันนารีได้กลับประเทศไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว อาจารย์พิเชรษฐ์และภรรยาเป็นผู้ดูแลต่อ
บ้านที่ผมพักจึงเป็นบ้านของมิชชันนารี พี่น้องทุกคนที่ไปด้วยกันกับผมเมื่อเห็นบ้านพักแล้วพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า ขอบคุณพระเจ้า นี่คือ Super Suit ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับพวกเรา มี 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 ห้องรับแขก มีอุปกรณ์เครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน มีเครื่องทำน้ำอุ่น มีเครื่องปรับอากาศทุกห้อง สะอาดสะอ้าน เหมือนได้รับการดูแลอย่างดีอยู่เสมอ
เมื่อพวกเราไปถึงนั้นคุณสุกัญญา ภรรยาของอาจารย์พิเชรษฐ์กำลังเป็นพยานให้กับผู้สนใจคนหนึ่ง (ชื่อคุณแสวง) ที่สำนักงานของศูนย์ฯ พวกเราจึงพากันไปสมทบ เมื่อพวกเราไปเห็นวิธีการประกาศแล้วพวกเราถึงกับอ้าปากค้าง เพราะว่าการประกาศเป็นพยานเต็มไปด้วยความตื่นเต้นร้อนรน และมีรูปภาพประกอบทำให้เห็นชัดเจนเป็นขั้นเป็นตอนตั้งแต่เริ่มแรกของมนุษย์จนถึงล้มลงในความบาป และการช่วยกู้จากพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ื เมื่อภรรยาอาจารย์พิเชรษฐ์ประกาศเป็นพยานเสร็จพวกเราก็เสริมคนละนิดคนละหน่อย เล่าคำพยานของเราให้ฟัง ในที่สุดผู้สนใจท่านนี้ก็ตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ขอบคุณพระเจ้าอีกครั้งที่พวกเราได้มีส่วนในพันธกิจของพระเจ้า ผมได้รับเกียรติจากอาจารย์พิเชรษฐ์และภรรยา ให้เป็นผู้ทำคลอด ผมจึงได้นำคุณแสวงอธิษฐานเชิญพระเยซูเข้ามาในชีวิต ประกาศตัวติดตามพระเยซูคริสต์ และได้อธิษฐานขอพระพรเผื่อด้วย
หลังจากนำรับเชื่อเสร็จแล้วพวกเราได้มีโอกาสแนะนำตัวเองให้กับเจ้าของบ้านคืออาจารย์พิเชรษฐ์กับภรรยา คือคุณสุกัญญา ให้ได้รู้จักกับพวกเรา และเป้าหมายของเราที่เดินทางมาจังหวัดน่านและแผนการเดินทางของเราในวันพรุ่งนี้ เพราะว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย ขอบคุณพระเจ้าอีกครั้งและขอขอบคุณอาจารย์พิเชรษฐ์และภรรยา ที่ได้ต้อนรับพวกเราและดูแลพวกเราเป็นอย่างดี ได้จัดเตรียมสิ่งต่างๆให้กับพวกเรา ในคืนนั้นพวกเรานอนหลับอย่างมีความสุข เพราะว่าพวกเราได้ทำพันธิกิจที่พระเจ้าจัดเตรียมไ้ว้
เช้าวันรุ่งขึ้น (วันอังคารที่ 28 ธันวาคม) ผมตื่นแต่เช้า เพื่อออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ ขอบคุณพระเจ้าอีกครั้งที่วันนี้อากาศดีมาก ได้สัมผัสความหนา็วเย็นที่ไม่สามารถหาได้ในกรุงเทพฯ ต้องบอกว่าครั้งนี้ไม่ผิดหวังที่ตั้งใจว่าจะมาสัมผัสอากาศหนาวที่ภาคเหนือ ได้เห็นทะเลหมอก เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านที่นั่นในตอนเช้าๆ
ผมได้พบกับอาจารย์พิเชรษฐ์ในตอนเช้าก่อนการเดินทาง อาจารย์บอกว่าท่านจะไปเยี่นมน้องคนหนึ่งชื่อน้องฟ้า (เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรู้น้องฟ้ามา) ที่ประสบอุบัติเหตุเมื่อประมาณ 10 เดือนที่ผ่านมาเดินไม่ได้และมีอาการเจ็บปวดอย่างมาก แต่เมื่อประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมาน้องฟ้าได้รับการอธิษฐานอาการปวดได้หายไปอย่างปิดทิ้ง จึงได้เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ และต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทุกวันพฤหัสฯ น้องฟ้าจะมาพักที่บ้านของอาจารย์เพื่อรับการสอน การเลี้ยงดู แต่สัปดาห์นี้ไม่ได้มาเพราะว่าไม่สะบาย อาจารย์พิเชรษฐ์จึงจะไปเยี่ยม พวกเราจึงขอตามไปด้วย ผมจึงทำหน้าที่ขับรถพาอาจารย์พิเชรษฐ์และพวกเราไป
เมื่อเราได้มาถึงบ้านของน้องฟ้า ซึ่งอยู่ที่อำเภอปัว ต้องขอบคุณพระเจ้าอีกครั้งที่ได้เห็นความเชื่อและความศรัทธาของน้องฟ้า เพราะว่าน้องฟ้าไม่สามารถจะเดินได้เองต้องใช้ไม้เท้าพยุงไหล่ทั้งสองข้าง แต่ด้วยความเชื่อในพระเจ้า น้องได้เป็นพยานกับอีกน้องอีกคนหนึ่งที่ป่วยเป็นโรครูคีเมีย (ไม่รู้เขียนถูกหรือเปล่า) มีอาการเหนื่อยง่าย ไม่สามารถเดินไกลๆได้ ทำงานอะไรก็จะเหนื่อย เมื่อได้รับการอธิษฐานเผื่อแล้วอาการเหล่านั้นหายไปจนหมดสิ้น สามารถเดินไปไหนๆได้ สามารถทำงานได้ ขอบคุณพระเจ้า พวกเราเชื่อว่าน้องทั้งสองนี้จะเป็นเมล็ดพันธุ์ของพระเจ้าในหมู่บ้านนี้ ทั้งสองคนนี้จะเดินทางไปที่บ้านของอาจารย์พิเชรษฐ์ ที่เปิดเป็นคริสตจักร ด้วยระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตรทุกสัปดาห์ (สุขภาพก็ไม่ดีและระยะทางก็ไกล เดินทางก็ไม่สะดวก) ถ้าไม่รักพระเจ้าคงทำไม่ได้แน่
หลังจากนั้นพวกเราได้ไปส่งอาจารย์ทำธุระที่อำเภอ ระหว่างทางนั้นพวกเราขอร้องให้อาจารย์พิเชรษฐ์พาพวกเราไปที่ดอยภูคา เพราะว่าที่นั่นมีเสียงเล่าลือกันว่า มีดอกชมพูภูคาสวยมากและมีที่นี่ที่เดียวเท่านั้น อาจารย์พิเชรษฐ์ก็กรุณาเราอีกเช่นเคย (อาจารย์น่ารักมากครับ) อาจารย์ได้เป็นไก้ด์พาพวกเราไปดูฝีพระหัถต์อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ตลอดเส้นทางที่เราไป ถนนคดเคี้ยว โค้งไปมา สวยงามมาก พวกเราต้องขอบคุณพระเจ้าอีกครั้งเมื่อเรามองดูที่ภูเขา บางลูกก็ถูกมนุษย์ตัดไม้ทำลายป่าจะกลายเป็นเขาหัวโล้น แต่บางลูกก็ยังอุดมสมบูรณ์ดีอยู่ พวกเราก็คุยกันว่าพระเจ้าทรงรดน้ำให้กับต้นไม้บนภูเขาเหล่านั้นอย่างแน่นอน เพราะว่าไม่มีมนุษย์คนไหนจะทำได้
เมื่อเราไปถึงต้นชมพูภูคา เราก็ต้องตื่นตะลึงอีก เพราะว่ามีอยู่ต้นเดียวและที่ทำให้เราทึ่งก็คือมันยังไม่ออกดอก มันจะออกดอกประมาณปลายเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ พวกเราจึงอ่านประวัติดูก็ทำให้เรารู้ว่า ต้นชมพูภูคานี้มีอยู่แห่งเดียวที่ดอยภูคาเท่านั้นและเป็นไม้ใกล้จะสูญพันธุ์ด้วย
พวกเราไปต่อที่บ่อเกลือสินเธา (ไม่รู้เขียนถูกหรือเปล่า) อายุ 108 ปี ชาวบ้านที่นั่นทำอาชีพต้มเกลือขายให้กับนักท่องเที่ยวและชาวบ้านทั่วไป เมื่อก่อนพ่อค้าแม่ค้าที่อำเภอปัวก็จะต้องขึ้นมาซื้อเกลือที่นี่เอาไปขายในตลาด เมื่อเที่ยวกันเสร็จ หาซื้อของฝากกันเรียบร้อยแล้วพวกเราก็ไปหาอาหารเที่ยงทานกัน พี่น้องของเราก็สอบถามกับคนที่บ่อเกลือว่าแถวนี้มีอะไรอะร่อย เค้าก็บอกว่าแถวนี้ก็มีส้มตำอะร่อย แต่เป็นแบบชาวบ้านๆ พวกพี่ต้องขึ้นไปทานบนเขานู้น เราก็มองตาม ในที่สุดเราก็ไปตามคำเเนะนำ ต้องขอบคุณพระเจ้าอีกครั้ง มีร้านอาหารอะร่อย ราคาไม่แพง บรรยากาศดี มองลงมาเห็นวิวสวยงาน มีอยู่แห่งเดียวที่บ่อเกลือ (ขอบอกว่าอาหารอะร่อยมากครับ ไม่ผิดหวังแน่)
พวกเรากลับลงมาจากบ่อเกลือเข้าอำเภอปัว พวกเราใช้เวลาไป 1 ชั่วโมง แต่ตอนขาขึ้นเราใช้เวลาไปเกือบ 3 ชั่วโมงรวมทั้งลงไปดูสถานที่ต่างๆด้วย พวกเรากลับถึงบ้านของอาจารย์พิเชรษฐ์ก็เย็นพอดี พวกเราจึ่งเรียนเชิญอาจารย์พิเชรษฐ์และครอบครัวไปทานอาหารเย็น เพื่อเป็นการเลี้ยงขอบคุณ (เดี๋ยวกลับมาต่อ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น