29 กรกฎาคม 2554

ความเชื่อ โดย ท็อด เพาเวอร์

สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม 2011



พระเจ้ามีพระสัญญาที่ให้ไว้กับเรามากมาย ถ้าเราอ่านพระวจนะของพระเจ้าเราจะพบกับพระสัญญาของพระเจ้าอยู่เสมอ พระเจ้าไม่เพียงแต่ทำพันธสัญญาหรือให้แนวทางกับเราเท่านั้น แต่พระองค์จะทรงกระทำตามพระสัญญาของพระองค์ด้วย พระองค์จะตอบสนองความต้องการในด้านต่างๆของเรา คือเราจะได้รับพระพร แต่ที่สำคัญเราจะรับพระสัญญาของพระเจ้าเข้ามาในชีวิตได้อย่างไร เราต้องรู้ว่าพระเจ้าแสนดี เราเห็นอย่างชัดเจนจากการทรงสร้างของพระเจ้าใน ปฐก.1-2 พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งอย่างดี และเราเห็นในพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม ที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย เราไม่เห็นพระคัมภีร์ตอนไหนที่พระเจ้าสร้างความเจ็บป่วย หรือว่าความยากจนให้กับมนุษย์ แต่มนุษย์ทำบาปและนำความเจ็บป่วย ความยากจนและปัญหาต่างๆเข้ามา แต่พระเยซูได้มาช่วยเหลือเราผ่านการตายทีกางเขน เราเห็นน้ำพระทัยของพระเจ้าผ่านทาง ยน.10:10 มารนั้นมาเพื่อจะลักฆ่าและทำลายเสีย แต่พระเยซูมาเพื่อเราจะได้ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ นี่คือพระสัญญาของพระเจ้าเป็นพระสัญญาที่ดี เราจะรับพระสัญญาของพระเจ้าเข้ามาอย่างไร
คือเราต้องมีความเชื่อ (มก.11:22-24) พระเยซูสั่งให้เรามีความเชื่อและเป็นความเชื่ออย่างไม่สงสัย เชื่อว่าจะได้รับตามที่เราอธิษฐาน พระเยซูจึงตรัสตอบเหล่าสาวกว่า จงเชื่อในพระเจ้าเถิด เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดๆ จะสั่งภูเขานี้ว่าจงลอยไปลงทะเลและมิได้สงสัยในใจแต่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่สั่งนั้น ก็จะเป็นตามนั้นจริง เหตุฉะนั้นเราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น
จากพระธรรมตอนนี้ เราเห็น 3 สิ่งที่จะทำให้เราได้รับตามพระสัญญาของพระเจ้า เป็น 3 สิ่งที่เราทั้งหลายเห็นจากพระวจนะของพระเจ้า
สิ่งแรก คือ ความปรารถนาของเรา เราต้องมีความปรารถนาหรือมีความต้องการ
สิ่งที่สอง คือ เราต้องอธิษฐานขอในสิ่งที่เราต้องการ ไม่ใช่เป็นการขอแบบตื้อจากพระเจ้า แต่เป็นการขอแบบทำความเข้าใจตรงกันกับพระเจ้าตามน้ำพระทัยของพระองค์
สิ่งที่สาม อ เราต้งอมีความเชื่อในสิ่งที่เราอธิษฐานว่าสิ่งนั้นเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เราต้องเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า เราต้องเชื่อว่าพระเจ้าจะทำตามพระสัญญาของพระองค์
เราเห็นตัวอย่างของพระเยซูที่อธิษฐานต่อพระบิดาแล้วเรียกราซารัสให้ฟื้นขึ้นจากความตาย (ยน.11) พระเยซูถามมาธาว่าเจ้าเชื่ออย่างนี้ไหม (ยน.11:26) นางตอบว่าเชื่อพระองค์เจ้าข้า พระเยซูจึงบอกว่า ถ้าเจ้าเชื่อเจ้าก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า (ยน.11:40) เมื่อพระเยซูอธิษฐานต่อพระบิดาและสั่งด้วยสิทธิอำนาจ ลาซารัสก็ฟื้นขึ้นจากความตาย
ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง (ฮบ.11:1) ถ้าเรามีความเชื่อเราก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในชีวิตของเราเหมือนกับคนต่างๆ ในพระคัมภีร์ เช่น อับราฮัม มีลูกโดยความเชื่อเมื่อท่านอายุได้ 100 ปี นางซารายภรรยาของท่านอายุ 90 ปี ดังนั้นกุญแจสำคัญคือความเชื่อ อับราฮัมมีความเชื่อในพระเจ้า ท่านเชื่อมั่นว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์กระทำทุกสิ่งได้ตามที่ได้ทรงสัญญาไว้ (รม.4:21) ความเชื่อเป็นความวางใจในพระเจ้า เป็นการวางลง มีลักษณะของการพิง หรือพักไว้ เป็นความมั่นใจ เหมือนที่อ.เปาโลมีความมั่นใจในพระวจนะของพระเจ้าว่าเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า อ.เปาโลจึ่งไม่มีความละอายต่อข่าวประเสริฐ (รม.1:16) ข่าวประเสริฐเป็นเหมือนระเบิด ที่พร้อมจะระเบิดออกมาเมื่อมีการจุดชนวน ด้วยประกายไฟแห่งความเชื่อ เราเห็นความเชื่อของหญิงที่ป่วยเป็นโรคโลหิตตกมาได้ 12 ปี นางมีความเชื่อ นางเชื่อว่าเพียงได้แตะต้องชายฉลองของพระเยซูนางก็จะหายโรคได้ นางจึงพยายามที่จะเบียดเสียดกับคนอื่นๆ ที่จะเข้าไปให้ถึงพระเยซู (มก.5:25-34) พระเยซูตรัสว่า ที่เจ้าหายเพราะเจ้าเชื่อ เราเห็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่พระเยซูทรงรักษาลูกสาวของไยรัสที่ตายแล้วให้ฟื้นขึ้นมาอีก สิ่งที่พระเยซูได้บอกกับไยรัสว่า อย่าวิตกเลยจงเชื่อเท่านั้นเถิด (มก.5:36)
เราเห็นแล้วว่าความเชื่อเป็นประกายไฟที่จะจุดระเบิดให้เกิดการระเบิดขึ้นในชีวิตของเรา พระองค์พร้อมที่จะช่วยเหลือเราอยู่เสมอ พระองค์ตรัสว่า “ถ้าช่วยได้นะหรือ ใครเชื่อก็ทำได้ทุกสิ่ง” (มก.9:23) ให้เรารักษาความเชื่อของเราเอาไว้ และให้เราพัฒนาความเชื่อของเราให้มีมากขึ้น ความเชื่อสามารถช่วยเราได้ เราสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยความเชื่อ (สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.churchofpeace2010.org)

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

28 กรกฎาคม 2554

เชิญร่วมนมัสการพระเจ้าและสัมมนาพิเศษ

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคมนี้
คริสตจักรแห่งสันติภาพได้รับเกียรติจาก ท่านอาจารย์ประพันธ์ หน่อราช จะมาเทศนาในช่วงเช้า และในช่วงบ่ายท่านจะสอนเชิงสัมมนาอีก 2 ชั่วโมง หากพี่น้องที่สนใจจะไปรับพระพรร่วมกันก็ขอเรียนเชิญครับ

ประวัติ (ย่อ) อาจารย์ประพันธ์ หน่อราช
อดีตศิษยาภิบาลคริสตจักรไทยล้านนา จ.เชียงใหม่ ผู้แปลหนังสือเรื่องหมายสำคัญสุดท้าย ผู้เขียนหนังสือ รับพรเพื่อเป็นพร และมีหนังสือที่ท่านแปลอีกหลายเล่ม รวมทั้งยังได้เขียนบทความต่างๆอีกมากมาย ที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องคริสเตียน (ต้องขออภัยที่ไม่ไ้ด้ใส่ประวัติทั้งหมดของท่านฯ)

คริสตจักรแห่งสันติภาพ
ห้องประชุมโสน อาคาร2 ชั้น 2 โรงเรียนบางกะปิ ตรงข้ามนิด้า ถนนเสรีไท

รายการวันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม 2011 นี้
08.15-09.00 อธิษฐานภาคเช้า
09.00-09.30 เตรียมสถานที่
09.30-12.00 นมัสการ-เทศนา โดยอาจารย์ประพันธ์ หน่อราช
12.00-13.00 อาหารกลางวัน
13.00-15.00 สัมมนาพิเศษ โดยอาจารย์ประพันธ์ หน่อราช
15.00-16.00 จัดเก็บอุปกรณ์และสถานที่

23 กรกฎาคม 2554

เชิญร่วมนมัสการและฟื้นฟูจิตวิญญาณ

เรียนเชิญพี่น้องทุกท่านร่วมนมัสการและรับการฟื้นฟูจิตวิญญาณกับ อาจารย์ท็อด เพาเวอร์ ที่คริสตจักรแห่งสันติภาพ (กรุงเทพฯ) ณ ห้องประชุมโรงเรียนบางกะปิ ตรงข้ามนิด้า วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม 2011 เวลา 09.30-12.00 น

ขออภัยที่แจ้งข่าวสารล่าช้า

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

22 กรกฎาคม 2554

ทางสามแพร่ง


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม 2011

พระธรรม มัทธิว 7:13-14
พระเยซูได้ยกภาพของทางสองสาย หรือประตู 2 ประตูขึ้นมา เพื่อชี้ให้เห็นว่าปลายทางของถนนแต่ละสายนั้นมีปลายทางที่แตกต่างกัน ถ้าหากเราเลือกเส้นทางของการเดินที่ถูกต้อง เราก็จะสามารถไปถึงจุดหมายปลายทางที่เราต้องการได้ แต่ถ้าหากเราเลือกทางเดินที่ผิดเราก็ไม่สามารถไปถึงเป้าหมายที่เราตั้งใจได้ พระเยซูยังได้บอกให้เรารู้ว่า เส้นทางทั้งสองมีความแตกต่างกัน เส้นทางหนึ่งเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่เดินเข้าไปในเส้นทางนี้  แต่อีกเส้นทางหนึ่งคนหาพบก็มีน้อย ดูแล้วไม่มีอนาคต  ซึ่งทุกคนจะต้องเลือกเส้นทางของตนเองไม่ว่าเป็นใครก็ตาม เปรียบเสมือนชีวิตของเรา เมื่อวันหนึ่งเราต่างก็เดินทางของชีวิตมาถึงทางสามแพร่ง ซึ่งจะต้องตัดสินใจเลือกว่าจะเดินไปในเส้นทางไหน เพราะว่าปลายทางมีความแตกต่างกัน พระคัมภีร์ตอนนี้ได้ชี้ให้เราเห็นลักษณะของเส้นทางทั้งสองเส้นนี้ว่าเป็นเส้นทางอะไรและมีลักษณะอย่างไร
1. หนทางสู่ความพินาศ (มธ.7:13)
เส้นทางสายนี้พระคัมภีร์บอกว่าเป็นเส้นทางสู่ความพินาศ ซึ่งมีลักษณะที่เด่นชัดที่เราสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน อย่างน้อย 2 ประการ คือ
1.1 มีความสะดวกสบาย
พระคัมภีร์บอกให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า ประตูมีขนาดใหญ่และทางก็กว้าง ซึ่งทำให้เราถึงการสัญจรไปมาที่สะดวกสบาย ไม่ว่าจะเข้าหรือจะออก ไม่มีสิ่งใดกีดขวางการจราจร ถ้าเปรียบถนนสายนี้ก็เป็นเหมือนกับถนนสายซุปเปอร์ไฮย์เวย์ คนขับรถบนถนนสายนี้ก็จะใช้ความเร็วได้มาก รถเกือบทุกคันที่วิ่งบนถนนไฮย์เวย์ก็จะขับด้วยความเร็วสูง ซึ่งยิ่งเร็วมากเท่าไหร่ โอกาสเกิดอุบัติเหตุมากขึ้นเท่านั้น และอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นก็จะมีความรุนแรงมาก  แต่ไม่ใช่จะเกิดอุบัติเหตุกับรถทุกคันที่วิ่งอยู่บนถนนสายนี้เสมอไป เช่นเดียวกัน ความสะดวกสบายก็ไม่ใช่นำไปสู่ความพินาศเสมอไป แต่ความสะดวกสบายจะเป็นต้นเหตุ หรือสาเหตุของความสูญเสียมากกว่า  จงอย่าให้ความสะดวกสบายทำลายชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรา อย่าให้ความสะดวกสบายทำให้เราเกลียดคร้าญฝ่ายวิญญาณ  เราจะเห็นว่าปัจจุบันคนเราต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ชอบความลำบาก และที่สำคัญไม่อยากลำบาก จึงชอบอะไรแบบเร็วๆ ชอบกินอาหารจานด่วน ชอบเดินทางลัด อยากรวยเร็วๆ โดยอาจจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการ แต่เราไม่ได้ปฏิเสธความสะดวกสบายหรือต่อต้านความสะดวกสบาย ความสะดวกสบายต้องเป็นเครื่องมือของเราในการขยายอาณาจักรของพระเจ้า นี่คือสิ่งแรก
1.2 เป็นที่ชื่นชอบของคนส่วนมาก (มธ.7:13)
เส้นทางสู่ความพินาศนั้น เป็นเส้นทางที่มีลักษณะเด่นอีกอย่างนอกจากความสะดวกสบายแล้ว ก็คือเป็นที่ชื่นชอบของคนส่วนมาก พระคัมภีร์บอกว่า คนที่เข้าไปทางนั้นก็มีมาก เป็นเส้นทางที่คนส่วนใหญ่เห็นดีเห็นงาม เพราะว่าเป็นเส้นทางที่ไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงชีวิต ไม่ต้องจ่ายราคา สามารถทำตามใจตนเองได้  ไม่ต้องสวนกระแสของสังคมหรือค่านิยมของโลก  เพราะว่ามนุษย์มีความจำกัด เพราะมนุษย์คิดว่าทางของตนเองนั้นดี แต่ปลายทางมันไปสิ้นสุดที่ความตาย (สภษ.16:25) อย่าเป็นเหมือนอย่างโลทที่มองด้วยสายตาฝ่ายเนื้อหนังเพียงเท่านั้น (ปฐก.13:10) บางครั้งเราต้องกล้าที่จะสวนกระแสของสังคมและค่านิยมของโลกนี้  โดยการยืนหยัดในทางของพระเจ้า แม้ว่าจะต้องเจอกับอุปสรรคบ้างก็ตาม แต่ปลายทางของมันก็จะจบลงที่สวัสดิภาพ  เราต้องระมัดระวังในการดำเนินชีวิต เพื่อเราจะมีชื่อบันทึกไว้ในสมุดของพระเจ้า (วว.20:15) แม้เป็นผู้เชื่อก็ต้องระวังด้วยเช่นกัน (มธ.7:21-23) นี่คือเส้นทางสู่ความพินาศ

2. หนทางสู่ชีวิตนิรันดร์ (มธ.7:14)
เส้นทางสายนี้เป็นเส้นทางที่พระเจ้าต้องการให้เราเดินเข้าไปแม้ว่าดูภายนอกเหมือนไม่มีอะไรดี พระเจ้าจึงได้สั่งกับเราทั้งหลายว่า จงเข้าไปทางประตูแคบ (มธ.7:13) ซึ่งเป็นหนทางนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์  เส้นทางนี้ลักษณะพิเศษ 2 ประการคือ
2.1 ต้องจ่ายราคา (มธ.7:14)
พระเยซูบอกว่าทางก็แคบคนหาพบก็มีน้อย ดังนั้นไม่ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ ไม่ใช่ได้มาง่ายๆนั่นเอง ซึ่งเป็นภาพของการที่จะได้อะไรที่มีค่ามาสักอย่างหนึ่งจะต้องออกไปเสะหา ไปค้นหาว่ามันอยู่ตรงไหน และเมื่อหาเจอแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะได้มันมาเลย จะต้องมีการจ่ายราคาเพื่อให้ได้สิ่งมีค่าสิ่งนั้น แม้พระคัมภีร์จะบอกว่าการได้รับความรอดนั้นเป็นเรื่องง่ายๆ เพียงชื่อด้วยใจสารภาพด้วยปากว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่ผู้เดียวก็รอดแล้ว แต่การจะรักษาความรอดเอาไว้จนถึงวันสุดท้ายของชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จะต้องพบกับแรงเสียดทาน พบกับการต่อต้าน ข่มเหง การเข้าใจผิด จะต้องมีการจ่ายราคาเพื่อรักษาความรอดเอาไว้ตลอดไป  พระเจ้าเตือนว่าอย่าสำสมทรัพย์สมบัติเอาไว้ในโลก (มธ.6:19-20) เราไม่ได้ขยายอาณาจักรของเรา แต่เราขยายอาณาจักรของพระเจ้า ให้เราใช้ทุกสิ่งที่พระเจ้าให้กับเราไม่ว่ากำลัง ความสามารถ ทรัพย์สินเงินทอง หรืออะไรก็ตาม เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า  เอาชนะความต้องการของเราให้ได้ (มธ.16:24) แม้ว่าเส้นทางของพระเจ้าจะแคบ แต่ก็เต็มไปด้วยพระคุณ พระคุณของพระเจ้ามีเพียงพอสำหรับเราเสอม  ไม่มีชาวนาคนไหนเมื่อเริ่มลงมือไถแล้วจะหันหลังกลับ (ลก.9:62) จงมองไปข้างหน้า มองที่แผนการของพระเจ้า อย่ามัวแต่มองอยู่ที่ปลายจมูก เหมือนคนอิสราเอลที่มองเพียงแต่อาหารการกินในอียิปต์เท่านั้น (กดว.11:5) ถ้าเราต้องการประสบความสำเร็จเราต้องยินดีจ่ายราคา นี่คือประการแรก
2.2 ต้องมีความตั้งใจสูง (มธ.7:14)
คนที่จะเข้าแผ่นดินของพระเจ้าได้จะต้องมีความตั้งใจอย่างสูง ไม่เพียงแค่จ่ายราคาเท่านั้น มีคนมากมายต้องตายไปเพราะว่าไม่มีความอดทนเพียงพอ ไม่มีความตั้งใจเพียงพอ เราเห็นตัวอย่างคนในสมัยของโนอาห์ที่เดินอยู่ในเส้นทางแห่งความพินาศ มีเพียงครอบครัวของโนอาห์ 8 คนเท่านั้นที่รอดตาย หรือตัวอย่างของคนอิสราเองที่พระเจ้านำพวกเค้าออกมาจากอียิปต์หลายล้านคนต้องตายในถิ่นทุรกันดารมีเพียงโยชูวากับคาเรบเท่านั้นที่ได้เข้าสู่ดินแดนพระสัญญา ดังนั้นคนที่มีความตั้งใจอย่างแท้จริงโดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคปัญหาก็จะสามารถเข้าไปในเส้นทางสายนี้ได้จนถึงสุดปลาย มีคนถามพระเยซูว่าคนที่รอดนั้นมีน้อยหรือ พระเยซูตอบเขาว่า ท่านจงเพียรเข้าไปทางประตูที่คับแคบ (ลก.13:23-24) นั้นแสดงว่าต้องมีความพยายามอย่างมาก  พระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นประตู ถ้าผู้ใดเข้ามาทางพระองค์ผู้นั้นจะรอด (ยน.10:9) พระองค์ยังบอกต่อไปว่า พระองค์ทรงเป็นความจริงและเป็นชีวิต (ยน.14:6) พระองค์ยอมสละชีวิตเพื่อให้เราได้ชีวิตนี่คือความตั้งใจที่สูงของพระเยซูคริสต์ ดังนั้นเราอย่าล้มเลิกความตั้งใจของเรา อย่าหมดความหวังใจ (สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.churchofpeace2010.org) 

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

15 กรกฎาคม 2554

เงื่อนไขของคำตอบ

สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม 2011

พระธรรม มัทธิว 7:7-12
ในมัทธิว 7:1-6 พระเยซูสอนไม่ให้เรากล่าวโทษผู้อื่น โดยได้ยกคำอุมาเรื่องไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตามาสอนเราทั้งหลาย และยังบอกต่อไปว่า ถ้าเราไม่กล่าวโทษผู้อื่นพระองค์ก็จะไม่กล่าวโทษเราด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นการชี้ให้เห็นว่า เราเองก็มีข้อบกพร่องเช่นกัน ในขณะที่พระองค์สอนเราในเรื่องนี้ทำให้เราเห็นถึงความสมดุลของพระเจ้า เห็นถึงความตรงไปตรงมาของพระเจ้า ในมุมหนึ่งเราเห็นพระเจ้าตั้งเงื่อนไขให้กับเราแต่เป็นเงื่อนไขที่ดีที่ช่วยเรา เมื่อเราทำตามเงื่อนไขที่พระเจ้าตั้งให้กับเรานั้นเราก็จะพบกับคำตอบที่ดีสำหรับเราด้วยเช่นกัน เรามาดูว่าเงื่อนไขของคำตอบจากพระธรรมตอนนี้มี 3 ประการคือ

1. อธิษฐานด้วยความเชื่อ (มธ.7:7-8)
การอธิษฐานเป็นการสร้างความสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า ซึ่งเป็นหนทางแห่งความสำเร็จ การอธิษฐานจากพระธรรมตอนนี้ เป็นลักษณะของการกระทำที่ต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่อธิษฐานเพียงครั้งเดียวและก็จบกัน แต่เป็นการอธิษฐานจนกว่าจะได้รับคำตอบ เป็นการกระทำที่เป็นปกติในชีวิตประจำวันอย่างมีความหมาย เป็นการอธิษฐานด้วยความเชื่อ ไม่มีความสงสัยในพระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุด การอธิษฐานไม่ได้เป็นการแสดงความอ่อนแอ แต่เป็นการแสดงความถ่อมใจลงยอมรับการช่วยเหลือจากพระเจ้า หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าการอธิษฐานขอต่อพระเจ้าเป็นการแสดงความอ่อนแอ ตรงกันข้ามคนที่ไม่ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นเป็นการแสดงออกถึงความหยิ่ง  ความจริงแล้วพระเจ้าเป็นพระบิดาของเรา ที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือเรา เหมือนกับพ่อแม่ของเราที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือเราอยู่ตลอดเวลา เมื่อลูกร้องขอความช่วยเหลือ และจะให้สิ่งที่ดีกับลูกของตน (มธ.7:9-11)  ให้เราเชื่ออย่างไม่สงสัย ถ้าเราอธิษฐานด้วยความเชื่อเราก็จะได้ (มธ.21:21-22)  (ยก.1:6-7) จงอย่าสงสัยในพระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุดของเรา ความจริงแล้วพระเจ้าทรงรู้ถึงความต้องการของเราและได้เตรียมสิ่งที่เราจะขอเอาไว้ให้กับเราก่อนหน้าที่เราขอเสียอีก

2. แสวงหาด้วยความเชื่อ (มธ.7:7-8)
พระวจนะของพระเจ้าบอกต่อไปอีกว่าให้เราหาแล้วเราจะพบ การหาในที่นี้เป็นอาการที่แสดงออกมาของท่าทีที่อยู่ภายใน เป็นอาการของคนที่มีความต้องการอย่างมาก จึงต้องออกไปแสวงหาสิ่งที่ตนเองต้องการ ท่องเที่ยวไปสำรวจ หรือค้นหาสิ่งที่ตนเองต้องการ ท่าทีของเราต้องแสวงหาด้วยความเชื่อและไม่สงสัย เพราะว่าความสงสัยเป็นอุปสรรคของความสำเร็จ คนที่ไม่แสวงหาสิ่งที่ตนเองมีความปรารถนาก็แสดงว่าเป็นคนเกียจคร้าน ซึ่งคนเกียจคร้านมือของเขาก็ปฏิเสธการทำงาน (สภษ.21:25) แต่คนขยันจะมีแต่ความอุดมสมบูรณ์ (สภษ.13:4) เราต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า เพื่อเราจะรู้ว่าพระองค์มีน้ำพระทัยอย่างไรต่อสิ่งที่เราทูลขอ และเมื่อคำอธิษฐานของเราสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้วเรามั่นใจได้ว่าสิ่งที่เราทูลขอนั้นเราจะได้ (ยน.5:14) การแสวงหายังเป็นสิ่งที่สะท้อนว่าเราเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรากำลังค้นหาหรือรอคอยอยู่ พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาพร้อมกับความปรารถนา ให้มีความต้องการไฝ่รู้ มนุษย์จึงเป็นนักค้นคว้า เป็นนักสำรวจ เราจึงพบกว่ามนุษย์ค้นพบสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ เราจึงต้องเป็นนักแสวงหา โดยเฉพาะแสวงหาพระเจ้า เหมือนกวางน้อยที่แสวงหาลำธารน้ำ (สดด.42:1-2) ดังนั้นจงแสวงหาพระเจ้าด้วยความเชื่อ

3. ลงมือกระทำด้วยความเชื่อ (มธ.7:7-8)
ไม่เพียงแต่อธิษฐานด้วยความเชื่อ และแสวงหาด้วยความเชื่อแล้ว พระวจนะของพระเจ้ายังบอกอีกว่า จงเคาะแล้วจะเปิดให้ ซึ่งเป็นการเคาะอย่างต่อเนื่อง หรือเคาะจนกว่าจะได้ยิน เคาะด้วยความอดทน เป็นการลงมือกระทำเพื่อให้ได้มาของสิ่งที่ตนเองต้องการ แม้ว่าบางครั้งจะต้องรอด้วยความอดทนก็ยังทำอยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำๆ หยุดๆ หรือเดี๋ยวทำ เดี๋ยวหยุด แต่ทำจนกว่าจะสำเร็จ  พระเยซูได้ยกตัวอย่างของเพื่อนที่ไปเคาะประตูบ้านของเพื่อนเพื่อขอขนมปังในตอนดึก เคาะจนเพื่อนต้องลุกขึ้นมาหยิบขนมปังให้ (ลก.11:5-8)  บางคนพระเจ้ายืนเคาะอยู่ที่ประตูใจของเราอยู่นานกว่าจะเปิดให้กับพระเจ้าเขามา บางคนพระเจ้าเคาะอยู่หลายปี  (วว.3:20) ให้เราไวต่อเสียงเรียกของพระเจ้า  ไม่เพียงเท่านั้นพระเจ้ายังสอนเราต่อไปอีกว่า ถ้าเราต้องการจะให้ผู้อื่นทำอย่างไรกับเรา เราก็ต้องทำอย่างนั้นกับเขาก่อน (มธ.7:12) ถ้าเราต้องการให้เขารักเรา เราก็ต้องรักเขาก่อน  อย่างให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้วเราจะเก็บเกี่ยวในเวลาอันสมควร (กท.6:9-10) ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใครก็ตามแม้กับคนที่ตั้งตัวเป็นศัตรูของเราก็ตาม (ลก.6:35) เพราะการกระทำเช่นนั้นเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า หรือแม้กับคนที่เราไม่รู้จักก็ตาม (ฮบ.13:2)
จงอธิษฐานด้วยความเชื่ออย่าสงสัยในพระเจ้า จงแสวงหาด้วยท่าทีที่ถูกต้อง จงกระทำอย่างต่อเนื่องไม่เสร็จไม่ควรท้อใจ และเมื่อถึงเวลาอันสมควรแล้วเราจะเห็นความสำเร็จที่เราปรารถนาเกิดขึ้น (ท่านสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.churchofpeace2010.org)

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

07 กรกฎาคม 2554

เริ่มต้นที่ตัวเรา


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม 2011

พระธรรมมัทธิว 7:1-6
พระธรรมตอนนี้เป็นเหตุการณ์ที่พระเยซูได้เทศนาสั่งสอนสาวกของพระองค์กับประชาชนที่บนภูเขา ซึ่งได้สอนเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในสังคม ซึ่งตอนนี้ได้สอนหลักการประพฤติตัวต่อผู้อื่น ว่าเราควรประพฤติตัวอย่างไร ไม่ว่าเราต้องการให้ผู้อื่นกระทำอย่างไรกับเรา เราก็ควรที่จะกระทำอย่างนั้นกับเขาด้วย ถ้าเราต้องการให้คนรักเรา เราก็ต้องรักคนอื่นด้วยเช่นกัน แต่คนจำนวนมากต้องการให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงมากกว่าที่ตัวเองต้องเปลี่ยนแปลง ดังนั้นทางที่ดีที่สุดจะต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน เราควรเริ่มที่ตัวเราก่อนอย่างไรบ้างจากพระธรรมตอนนี้เราเห็น 4 ประการ คือ
1. ไม่ตัดสินผู้อื่น (มธ.7:1-2)
พระเยซูบอกว่าอย่ากล่าวโทษผู้อื่น เพราะว่ถ้าเรากล่าวโทษผู้อื่น พระองค์ก็จะทรงกล่าวโทษเราด้วยเช่นกัน เพราะว่าเราเองก็มีข้อบกพร่องเช่นเดียวกับคนอื่นเหมือนกัน เราไม่ได้แตกต่างไปจากคนอื่น แม้เราอาจจะดีกว่าคนอื่นแต่เราก็มีข้อบกพร่องเหมือนกัน  เราจึงไม่ควรที่จะไปตัดสินใคร ซึ่งแท้จริงแล้วเราไม่มีหน้าที่ตัดสินคนอื่นเลย เพราะว่าเราไม่ใช่เจ้านายหรือเจ้าของเขา ปล่อยให้เป็นห้าที่ของเจ้านายเขา (รม.14:4) อย่าเป็นเหมือนฟาริสีที่ชอบตัดสินคนอื่น แต่ให้เป็นเหมือนคนเก็บภาษีที่ถ่อมใจลงต่อพระเจ้า (ลก.18:10-14) (1คร.4:5) (ทต.1:9) (1คร.14:29) ดังนั้นเราควรให้ความสนใจที่ตัวเรามากกว่าไปมองที่ความผิดของคนอื่น (รม.14:13)
2. แก้ไขตัวเองก่อน (มธ.7:3-5)
พระเยซูบอกว่าให้เอาไม้ทั้งอนที่อยู่ในตาของตนเองออกก่อน เพื่อตัวเองจะได้เห็นชัดเจน เพราะว่าหลายครั้งเราไปว่าคนอื่น ขณะที่ตัวเราเองยังทำผิดพลาดอยู่ ความผิดที่เราทำก็ไม่ใช่เล็กน้อยเสียด้วยสิ เพราะคำว่า ไม้ทั้งท่อน มันคงต้องใหญ่กว่าผงที่อยู่ในตาคนอื่นอย่างแน่นอน อย่าเป็นเหมือนดาวิดที่ทำผิดแล้วยังไม่รู้ตัวอีก (2ซมอ.12:5-6) และแม้รู้ว่าทำผิดแล้วก็ยังขอให้พระเจ้าหันหน้าหนีไปจากความบาปที่ตนเองได้ทำ (สดด.51:9-13) แต่ให้เราพิจารณาตัวเราเองอยู่เสมอ ขอพระเจ้ายกโทษความผิดที่เราได้กระทำ  แก้ไข แต่ไม่แก้ตัว  ก่อนนอนทุกคืนเราควรสำรวจชีวิตของเราและสารภาพบาปต่อพระเจ้าทุกคืน
3. ช่วยเหลือผู้อื่น (มธ.7:5)
แม้เราจะไม่สมบูรณ์เราสามารถที่จะช่วยเหลือคนอื่นได้ แม้ว่าเราไม่รวยเราก็สามารถที่จะช่วยคนที่ลำบากกว่าเราได้ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะใดเราก็ยังสามารถช่วยคนอื่นได้เหมือนเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราสามารถช่วยคนให้ได้รับความรอด  การช่วยเหลือของเราต้องทำด้วยใจยินดีและอ่อนสุภาพ (กท.6:1) พระเยซูใช้สติปัญญาและความอ่อนสุภาพช่วยเหลือหญิงล่วงประเวณี (ยน.8:7-11) การช่วยเหลือผู้อื่นจะต้องทำอย่างรอบคอบ และไม่ทำให้เขาเสียหน้า ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตาม
4. เรียนรู้ว่าควรจะทำสิ่งใด (มธ.7:6)
พระคัมภีร์บอกว่าอย่าเอาของประเสริฐให้แก่สุนัข อย่าโยนไขมุกให้กับหมู ซึ่งให้ความหมายว่าอย่าเอาสิ่งที่เขาไม่ต้องการไปให้เขา หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ อย่าให้อะไรกับใครในขณะที่เขาไม่ต้องการ เพราะว่าเขาจะไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำหรือให้กับเขา  (สภษ.9:7-8) หรืออย่าไปสอนคนโง่  (สภษ.23:9) อ.เปาโลเองก็เคยเจอกับเหตุการณ์ทำนองเดียวกันมาแล้ว (กจ.13:45-46)  เพราะว่าถ้หากเราไม่ดูเวลาที่เหมาะสมก็จะกลายเป็นปัญหาไปได้ (สภษ.27:14) พระเยซูยังบอกกับสาวกว่า ถ้าใครไม่ต้อนรับท่านเวลาที่ท่านออกจากบ้านเขา ก็ให้สะบัดผงคลีดินที่ติดที่เท้าออกเสีย (มธ.10:14-15)  (ฮบ.6:6)  (2ปต.2:22)  (มธ.12:43-45) ต้องระวังที่จะเรียนรู้ว่าควรทำสิ่งใดก่อนหลัง ให้ถูกเวลาและโอกาส
ดังนั้นต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน ถ้าเราต้องการที่จะให้พระเจ้าอวยพรเรา ถ้าเราต้องการชีวิตที่ดีกว่า ให้เราเริ่มต้นที่จะเดินกับพระเจ้าอย่างจริงจัง ไม่ตัดสินคนอื่น ปรับปรุงแก้ไขตัวเองอยู่เสมอ ช่วยเหลือผู้อื่นให้เขาสามารถที่จะลุกขึ้นยืนได้ และเรียนรู้ที่จะทำสิ่งใดๆในเวลาที่เหมาะสม (สามารถที่จะดูเพิ่มเติมได้ที่ www.churchofpeace2010.org)

ขอพระเจ้าอวยพรครับ