26 มิถุนายน 2554
เทศกาลชีวิตเปี่ยมสุข
25 มิถุนายน 2554
การตอบสนองที่ถูกต้อง
สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน 2011
พระธรรม โคโลสี 4:15-18
อ.เปาโลได้ย้ำถึงความต้องการที่มีให้กับพี่น้องที่โคโลสีด้วยลายมือของท่านเอง ซึ่งสดงให้เห็นถึงคุณค่าของผู้นำ หรือผู้ที่มีอาวุโสกว่า อ.เปาโลย้ำว่าต้องให้เกียรติและเคารพนับถือกัน ต้องแสดงออกมาเป็นการกระทำภายนอก และคาดหวังว่าพี่น้องที่โคโลสีจะตอบสนองต่อคำกำชับของอ.เปาโลได้เป็นอย่างดี เพราะว่าการตอบสนองที่ถูกต้องย่อมนำมาซึ่งสิ่งดีต่างๆมากมาย และการตอบสนองอย่างถูกต้องนี้ไม่ใช่เพียงเฉพาะกับศิษยาภิบาลเท่านั้นแต่กับผู้นำทุกระดับและกับทุกคนที่ทำการดีเพื่อเพื่อพระเจ้า เราเห็นการตอบสนองที่ถูกต้องที่ อ.เปาโลคาดหวังไว้ 4 ประการ
1. ให้ความนับถือและขอบคุณ (คส.4:15)
อ.เปาโลได้บอกกับพี่น้องที่โคโลสีว่าให้แสดงความนับถือพวกพี่น้องที่เมืองเลานีเซียกับนางนุมฟาและคริสตจักรที่อยู่ในเรือนของนาง นั้นแสดงว่านางนุมฟาได้เปิดบ้านของตนออกเป็นคริสตจักร การทำเช่นนี้ได้ต้องเป็นคนที่มีใจรักพระเจ้าอย่างมาก เพราะว่าเมืองเลานีเซียเป็นเมืองที่ร่ำรวย คนที่เมืองนี้ไม่เอาพระเจ้าเพราะว่าลุ่มหลงไปกับความร่ำรวยจนพระเจ้าต่อว่าเป็นพวกแร้นแค้นเข็ญใจ (วว.3:17) อ.เปาโลจะแสดงความนับถือและขอบคุณคนที่ทำการดีเพื่อพระเจ้าอยู่เสมอ เช่น อารคิปปัสที่เปิดบ้านออกเป็นคริสตจักร (ฟม.2) (รม.16:3-4) (รม.16:6-7) อ.เปาโลได้วิงวอนขอให้นับถือคนที่ทำงานดี เป็นผู้นำที่ดี (1ธส.5:12) เราต้องมีใจขอบพระคุณ เราต้องเห็นคุณค่าผู้ที่ทำสิ่งที่ดีโดยเฉพาะผู้นำที่ทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม พระคัมภีร์สอนไม่ให้เราแตะต้องผู้นำที่พระเจ้าเจิมไว้ (1พศด.16:22) (1พกษ.13:1-4) เราต้องนึกถึงสิ่งดีที่พี่น้องได้ทำให้กับเรา เราต้องรู้จักขอบคุณคนอื่นที่ทำสิ่งที่ดี เราไม่ควรเห็นแก่ตัว เราต้องยำเกรงผู้ที่สมควรได้รับ (รม.13:7) (ยน.21:17) เมื่อผู้นำรักแกะแล้วแกะต้องเห็นคุณค่าของผู้นำด้วย
2. ถ่ายทอดคำสอนต่อ (คส.4:16)
อ.เปาโลบอกว่าเมื่ออ่านจดหมายให้ส่งไปให้คริสตจักรที่เลานีเซียอ่านด้วยและก็ให้อ่านจดหมายที่มาจากเลานีเซียด้วย ซึ่งเป็นจดหมายที่ อ.เปาโลเขียนมาหนุนใจด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นการถ่ายทอดคำสอนต่อกันไปมา เพื่อทุกคนจะได้มีความเข้าใจแบบเดียวกัน มีเป้าหมายเดียวกัน มีภาระใจอย่างเดียวกัน มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อ.เปาโลบอกให้พี่น้องที่เธสะโลนิกาอ่านจดหมายที่ อ.เปาโลเขียนไปถึงให้ทุกคนฟัง (1ธส.5:27) อ.เปาโลหนุนใจทิโมธีให้สอนคนอื่นที่สัตย์ซื่อเพื่อคำสอนที่ได้รับมานั้นจะถูกสอนออกไปต่อ (2ทธ.2:2) เมื่อเราได้รับฟังคำสอน คำเทศนา คำหนุนใจ หรือว่าเป้าหมาย ภาระใจของผู้นำมาเราต้องสื่อสารต่อไป ให้ทุกคนมีความเข้าใจอย่างเดียวกัน เราต้องสร้างสาวกขึ้นให้เค้าเป็นอย่างที่พระเจ้าต้องการ ให้เค้าเป็นไปตามแบบพระคัมภีร์ เราเป็นผู้เลี้ยง เป็นผู้นำ เราจะต้องสื่อสาร สำแดงสิ่งที่พระเจ้าต้องการสื่อสารให้กับประชากรของพระเจ้า
3. สนับสนุนสิ่งดีที่เขาทำ (คส.4:17)
อ.เปาโลบอกให้กับพี่น้องที่โคโลสีว่าให้ไปบอกอารคิปปัสว่างานรับใช้ของท่านนั้นจงกระทำให้สำเร็จ อ.เปาโลได้สนับสนุนทีมงานของท่านในการรับใช้ไม่ว่าสิ่งใดที่ท่านสามารถทำได้ท่านยินดีที่จะทำ ไม่ว่าจะเขียนจดหมายไปหนุนใจ ส่งคนไปช่วย หรืออะไรก็ตามที่จะทำได้ นี่คือหัวใจของคนที่รักพระเจ้า ถ้าเรารักพระจ้าเหมือน อ.เปาโล เราจะสนับสนุนผู้รับใช้ ผู้นำ ศิษยาภิบาล หัวหน้าแคร์ หัวหน้าหน่วย กระทำการต่างๆ ให้สำเร็จ ทุกคนต่างก็ต้องการการสนับสนุน ต้องการกำลังใจ ต้องการความช่วยเหลือด้วยกันทั้งสิ้น ผู้นำก็ต้องเอาใจใส่ดูแลสมาชิกอย่างเต็มที่เต็มกำลัง อ.เปาโลได้เตือนว่าให้ผู้นำระวังที่จะรักษาฝูงแกะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานให้ (กจ.20:28) เมื่อผู้นำได้รับการสนับสนุนการงานของพระเจ้าก็สำเร็จเป็นอย่างดี (อพย.17:12) เราต้องให้การสนับสนุนผู้นำของเรา อย่าทำให้ผู้นำต้องลำบากใจในการนำชีวิตของเรา หรือสอนเราให้เราตอบสนองและเชื่อฟัง
4. อธิษฐานเผื่อผู้นำ (คส.4:18)
อ.เปาโลบอกว่าขอท่านระลึกถึงโซ่ตรวน หมายถึงความยากลำบากที่ อ.เปาโลได้รับนั้นไม่ได้หมายความว่า อ.เปาโลกำลังเรียกร้องให้สงสาร หรือเห็นใจท่าน หรือต้องการขอความเห็นใจ แต่ อ.เปาโล ต้องการให้พี่น้องอธิษฐานเผื่อ เพื่อให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าขยายออกไป อ.เปาโลขอให้พี่น้องที่เธสะโลนิกาอธิษฐานเผื่อท่าน (2ธส.3:1) เราต้องอธิษฐานเผื่อกันและกันอยู่เสมอ เพื่อจะได้รับการปกป้องจากพระเจ้าให้พ้นจากการทำลายของมารซาตาน อ.เปาโลให้ระลึกถึงคนต่างๆ ที่ถูกจำจองอยู่เพราะข่าวประเสริฐ (ฮบ.13:3) เพื่อเราจะได้อธิษฐานเผื่อคนเหล่านั้นได้อย่างมีภาระใจ (2คร.11:23-29) เราไม่ควรบ่นต่อว่าพระเจ้า แต่เราควรอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าไม่ว่าเรื่องใดที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะดีหรือไม่ก็ตาม (สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ www.churchofpeace2010.org)
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
14 มิถุนายน 2554
ชีวิตที่เป็นแบบอย่าง
สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน 2011
พระธรรม โคโลสี 4:7-14
พระธรรมตอนนี้เป็นตอนท้ายๆ ของพระธรรมโคโลสี ที่ อ.เปาโลกำลังจะจบจดหมายฝากที่มีไปถึงพี่น้องที่โคโลสี ซึ่งตอนท้ายของจดหมายฝากนี้ เป็นคำกำชับของ อ.เปาโล และได้ฝากให้พี่น้องที่โคโลสีรับรองและดูแลเอาใจใส่คนที่ถือจดหมายฝากฉบับนี้มาด้วย นั่นคือ ทีคิกัส และโอเนสิมัส ซึ่งทั้งสองคนนั้นเป็นคนที่มีแบบอย่างชีวิตที่ดีได้ร่วมกับปรนนิบัติรับใช้กับ อ.เปาโลมาตลอด ในจดหมายฝากยังได้กล่าวถึงอีกหลายคนที่มีลักษณะชีวิตที่โดดเด่น เช่น อาริทารคัสและเอปาฟรัส ซึ่งพี่น้องที่โคโลสีและรวมทั้งเราทุกคนสามารถที่จะเอาเป็นแบบอย่างชีวิตได้ จากคนต่างๆ ที่ อ.เปาโลกล่าวถึงทั้ง 4 คน เราเห็นแบบอย่างชีวิตได้ 4 แบบ คือ
1. ชีวิตที่สัตย์ซื่อและไว้ใจได้ (คส.4:7)
ทีคิกัส เป็นผู้ที่มีแบบอย่างชีวิตที่ดีจน อ.เปาโล ยกมาเป็นตัวอย่างเพื่อสอนให้กับพี่น้องที่โคโลสีและเราทุกคน ทีคิกัสเป็นอย่างไรถึงได้เรียกว่ามีแบบอย่างชีวิตที่ดี เราเห็นได้จากที่ อ.เปาโล กล่าวว่า ทีคิกัส เป็นผู้ที่เอาใจใส่ปรนนิบัติและเป็นเพื่อนร่วมงานกับเรา ไม่ว่าอ.เปาโลจะตกอยู่ในสถานการณ์ใดทีคิกัสก็ยังมีความสัตย์ซื่อในการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าอยู่เสมอ อ.เปาโล ได้ตั้งให้ทีคิกัสเป็นตัวแทนไปทำหน้าที่ต่างๆ เช่น เป็นตัวแทนของคริสตจักรในการนำเงินบริจาคไปช่วยพี่น้องที่ยากจนที่คริสตจักรเยรูซาเล็ม (กจ.20:4, 21:29) อ.เปาโล ได้ให้ทีคิกัสไปหาติตัสที่เกาะครีตและไปช่วยติตัสที่นั่น (ทต.3:12) อีกครั้งหนึ่งไปช่วยทิโมธีที่เอเฟซัส (2ทธ.4:12) เราต้องเป็นคนที่สัตย์ซื่อไว้ใจได้ เพื่อพระเจ้าจะได้ใช้เราได้มากขึ้น คุณลักษณะที่สำคัญเช่นนี้คือเป็นคนที่สัตย์ซื่อไว้ใจได้ (2ทธ.2:2) ควรเป็นคนสมบัติของผู้เชื่อทุกคนร่วมทั้งพี่น้องในคริสตจักรนี้ด้วย คนสัตย์ซื่อไว้ใจได้อยู่ที่ไหนพระพรของพระเจ้าก็จะมาถึงที่นั่น (ปฐก.39:4-5) ยิ่งสัตยัซื่อมาก ยิ่งได้รับการอวยพรมาก (มธ.24:45-47, 25:23) ถ้าเราไม่สัตย์ซื่อในทรัพย์สมบัติอธรรมแล้วใครจะมอบทรัพย์สมบัติอันแท้ให้แก่เราเล่า (ลก.16:11-12) นี่คือแบบอย่างแรกคือ ความสัตย์ซื่อและไว้ใจได้
2. ชีวิตที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว (คส.4:9)
ข้อนี้กล่าวถึงโอเนสิมัส ซึ่งเคยเป็นทาสอยู่ในบ้านของฟิเลโมนซึ่งเป็นคนที่รู้จักกับ อ.เปาโลเป็นอย่างดี แต่ได้ทำตัวไม่ดีและได้หนีออกมาจากบ้าน เมื่อโอเนสิมัสได้พอกับ อ.เปาโล ที่กรุงโรมและกลับใจใหม่เป็นคริสเตียนและร่วมรับใช้กับ อ.เปาโลตั้งแต่นั้นมา อ.เปาโลจึงได้ส่งโอเนสิมัสกลับมาหาฟิเลโมน โดยขอให้ฟิเลโมนรับเขาไว้ แต่ไม่ใช่รับแบบเป็นทาสอีกต่อไป แต่เป็นพี่น้องในพระคริสต์ (ฟม.16) โอเนสิมัสที่ได้กลับใจใหม่แล้วและได้ผ่านการพิสูจน์แล้ว อ.เปาโล กล่าวถึงโอเนสิมว่าเป็นลูกของ อ.เปาโล (ฟม.10) เป็นดั่งดวงใจของ อ.เปาโล (ฟม.12) มิหน่ำซ้ำ อ.เปาโลยังบอกว่าถ้าโอเนสิมัสทำผิดสิ่งใดหรือว่าเป็นหนี้ประการใดให้ไปเอากับ อ.เปาโล (ฟม.16-18) การกลับใจใหม่ต้องพิสูจน์หรือดูได้จากผลของการกระทำที่เกิดขึ้น (มธ.3:8) อ.เปาโล ก็เคยพิสูจน์ให้คนยิวเห็นแล้วว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ (กจ.9:22) ไม่ว่าเราจะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็กเราต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าเราเปลี่ยนแปลงใหม่แล้ว เหมือน อ.เปาโลหนุนใจทิโมธี (1ทธ.4:12)
3. ชีวิตที่หนุนใจ (คส.4:10-11)
อาริสทารคัส เป็นอีกคนหนึ่งที่โดดเด่นในเรื่องการมีชีวิตที่หนุนใจ เป็นคนที่คอยให้กำลังใจหรือปลอบใจอ.เปาโล อยู่เสมอ เป็นคนที่ถูกจับพร้อมกันกับ อ.เปาโลที่เมืองเอเฟซัส คอยติดตามปรนนิบัติ อ.เปาโลอยู่เสมอ คำพูดต่างๆ ของอาริสทารคัส เป็นคำพูดที่ให้กำลังใจ หนุนใจ ให้ความหวังอยู่เสมอ เป็นคำพูดที่คนฟังแล้วมีกำลังใจขึ้น ฟังแล้วมีความหวังใจมากขึ้น เป็นคำพูดที่ช่วยให้สามารถที่จะลุกขึ้นสู้ต่อไปได้อีก ดังนั้นเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้วเราได้รับการเปลี่ยนใหม่แล้ว เราเป็นคนใหม่แล้ว เราควรที่จะให้คำพูดของเราเป็นคำพูดที่ทำให้คนมีกำลังใจ มีความหวัง สามารถที่จะลุกขึ้นต่อสู้ได้อีก ไม่ควรให้คำพูดของเรากลายเป็นเครื่องมือของมารซาตานที่ใช้เพื่อประหารคนอื่น เราเห็นบารนาบัส มีชีวิตเป็นหนุนใจคนอื่นอยู่เสมอ แม้กระทั่งชื่อของบารนาบัส ยังแปลว่า ลูกแห่งการหนุนน้ำใจ (กจ.4:36) ทุกคนต้องการการปลอบใจ ต้องการกำลังใจ ต้องการคนเห็นใจ ต้องการคำพูดที่หนุนใจ ดังนั้นเราควรที่จะให้กำลังใจกัน หนุนใจกันอยู่เสมอ
4. ชีวิตที่ทุ่มเทเสียสละ (คส.4:12-14)
เอปาฟรัส เป็นอีกคนหนึ่งที่มีชีวิตที่เป็นแบบอย่าง คือ เป็นคนที่ทุ่มเทเสียสละอย่างมาก เค้าเป็นคนที่บากบั่นทุ่มเท เอาจริงเอาจัง เพราะว่ามีความห่วงใยพี่น้อง โดยเฉพาะพี่น้องที่โคโลสี เขาเฝ้าอธิษฐานเผื่อพี่น้องที่ต้องการจะเห็นคนเหล่านั้นเติบโตขึ้นในทางของพระเจ้า อ.เปาโล ได้ยื่นยันว่า เอปาฟรัสทุ่มเททำงานหนักจริงๆ อ.เปาโล เป็นแบบอย่างในการทุ่มเทเสียสละอย่างมากในการรับใช้พระเจ้า ได้ทุ่มเทเวลาให้กับงานของพระเจ้าอย่างไม่หยุดหย่อน (กจ.20:31) พระเยซูก็เป็นแบบอย่างในการทุ่มเทเสียสละเช่นกัน ถ้าเราสำรวจพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม เราจะพบเพียงไม่กี่ครั้งว่าพระเยซูพักผ่อน เพราะว่าวิญญาณของคนเกียจคร้านก็ยังขัดสน ส่วนวิญญาณของคนขยันก็จะอ้วนพี (สภษ.13:4) เราต้องปฏิวัติตัวเองให้กลายเป็นคนขยัน ถ้าเราไม่อยากเป็นคนขดสน หรือยากจน เราต้องเป็นแบบอย่างชีวิตที่ดีจนเราสามารถพูดเหมือน อ.เปาโลได้ว่า ท่านทั้งหลายจงปฏิบัติตามอย่างข้าพเจ้า เหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าปฏิบัติตามอย่างพระคริสต์ (1คร.11:1)
ให้เราเลียนแบบอย่างที่ดีจากตัวอย่างดีๆ ในพระคัมภีร์ซึ่งมีมากมาย และให้เราดำเนินชีวิตให้สมกับที่พระเจ้าเรียกเรา พระพรของพระเจ้าจะหลั่งไหลมาเมื่อเราสัตย์ซื่อไว้ใจได้ เราผ่านการพิสูจน์แล้ว ชีวิตของเราเป็นที่หนุนใจผู้อื่น และเราได้ทุ่มเทเสียสละอย่างเต็มที่แล้ว (สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ www.churchofpeace2010.org)
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
10 มิถุนายน 2554
บทบาทในสังคม
สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2011
พระธรรม โคโลสี 4:2-6
พระวจนะของพระเจ้าสอนเราอย่างสมดุลย์อยู่เสมอ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะใดหรืออยู่ที่ใดพระเจ้าก็จะสอนให้เราดำเนินชีวิตอย่างสมดุลย์ สอนให้เรารู้จักบทบาทของตัวเราไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม เมื่อเราทำตามบทบาทที่พระเจ้าสอน เราก็จะถวายเกียรติแด่พระเจ้า พระวจนะได้สอนเราถึงบทบาทในครอบครัวมาแล้ว และสอนให้เราเห็นถึงบทบาทในที่ทำงานมาแล้ว เท่านั้นยังไม่พอพระเจ้ายังสอนให้เรารู้จักบทบาทในสังคมอีกด้วย เพราะพระเจ้ารู้ว่าเราไม่ได้อยู่เฉพาะในบ้านและที่ทำงานเท่านั้น เรายังต้องอยู่ในสังคมร่วมกับคนอื่นอีกด้วย อย่างไรก็ตามไม่ว่าที่บ้านหรือว่าที่ทำงานต่างก็ถือว่าเป็นสังคมย่อยสังคมหนึ่งด้วย ดังนั้นให้เรามาดูด้วยกันว่าบทบาทของคริสเตียนเราในสังคมจะต้องทำอย่างไรบ้าง
1. อธิษฐานเผื่อสังคมและชุมชน (คส.4:2)
พระคัมภีร์บอกว่า “จงขะมักเขม้นอธิษฐาน” บทบาทแรกของเราคือการอธิษฐาน คริสเตียนมีหน้าที่ต้องอธิษฐานเผื่อสังคมและชุมชนที่เราอยู่ ไม่ว่าที่นั่นจะเป็นที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือว่าที่ทำงาน หรือว่าในชุมชนที่เราอาศัยอยู่ รวมทั้งอธิษฐานเผื่อคริสตจักรที่เราผูกพันตัวด้วย นี่เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องอธิษฐานขอพรจากพระเจ้าให้เทลงมาในสังคมนั้น คำว่าอธ้ษฐานอย่างขะมักเขม้น หมายถึงการอธิษฐานอย่างต่อเนื่อ คริสตจักรสมัยแรกได้ขะมักเขม้นในการอธิษฐานอย่างมาก (กจ.1:14. รม.12:12) ทำไมถึงต้องขะมักเขม้นในการอธิษฐาน ก็เพราะว่า เรากำลังอยู่ในสงครามฝ่ายวิญญาณ นางฮันนาอธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยใจร้อนรนอย่างไม่หยุดยั้งเนื่องด้วยนางเป็นทุกข์เพราะไม่มีบุตร (1ซมอ.1:10) พระคัมภีร์ยังใช้คำว่า “เฝ้าระวัง” ซึ่งหมายถึง ตื่นตัวอยู่เสมอ ไม่ใช่เพียงแต่อธิษฐานขออย่างเดียว แต่ต้องขอบพระคุณด้วย เป็นการขอบคุณล่วงหน้า ไม่ต้องรอให้ได้รับคำตอบก่อน
2. อธิษฐานเผื่อผู้นำและงานรับใช้ (คส.4:3-4)
บทบาทของคริสเตียนไม่เพียงอธิษฐานเผื่อสังคมและชุมชนเท่านั้น อ.เปาโลยังได้บอกต่อไปว่า ให้อธิษฐานเผื่อเราด้วย เพื่อให้พระเจ้าเปิดประตูไว้สำหรับข่าวประเสริฐ ดังนั้นเราต้องอธิษฐานเผื่อผู้นำและงานรับใช้ของผู้นำมากๆ เพื่อให้พระเจ้าปกป้องและเปิดประตูให้ข่าวประเสริฐถูกประกาศออกไป อ.เปาโลวิงวอนให้พี่น้องอธิษฐานเผื่อท่านอย่างมากๆ (รม.15:30, อฟ.6:19) เราต้องอธิษฐานเผื่อพี่เลี้ยง หัวหน้าแคร์ หัวหน้าหน่วย ผู้นำทุกระดับ รวมทั้งอธิษฐานเผื่อกันและกันด้วย ผู้นำเป็นของประทานที่มาจากพระเจ้าสำหรับผู้เชื่อทุกคน
3. สำแดงชีวิตที่เป็นแบบอย่าง (คส.4:5-6)
คริสเตียนคือคนที่พระเจ้าเข้ามาเปลี่ยนแปลงใหม่แล้ว ดังนั้นการดำเนินชีวิตต้องไม่เหมือนเดิม คนสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนมากขึ้นทุกวัน คริสเตียนชีวิตต่อสังคมอย่างไรบ้าง
3.1 โดยใช้สติปัญญา (คส.4:5)
แม้เรามาเชื่อในพระเจ้าแล้วเรายังต้องอยู่ในสังคมต่อไป เราไม่ได้แยกตัวออกไปอยู่ในป่า หรือไปตั้งชุมชนขึ้นมาใหม่ ดังนั้นเมื่อเราอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยความบาป ความอิจฉาริษยา การเอารัดเอาเปรียบ พระคัมภีร์บอกว่า พระเจ้าให้เราเข้าไปอยู่ท่ามกลางหมาป่า (มธ.10:16) เราต้องฉลาด เราก็ต้องดำเนินชีวิตโดยการใช้สติปัญญาที่มาจากพระเจ้า พระเจ้าเตือนเราให้ดำเนินชีวิตอย่างคนมีปัญญา (อฟ.5:15) เพราะว่าในโลกนี้เต็มไปด้วยกลอุบายและการล่อลวงของมารซาตาน เพื่อเราจะได้มีชัยชนะในทุกสถานะการณ์ เมื่อเราดำเนินชีวิตโดยสติปัญญาเราก็จะปลอดภัย (ยก.3:13, 17) คนที่อยู่ในทางพระเจ้าก็จะมีปัญญาและใจอ่อนสุภาพ
3.2 โดยการฉวยโอกาส (คส.4:5)
คำว่า “ฉวยโอกาส” ในภาษาเดิมแปลว่า “ไถ่เวลาคืนมา” เราเห็นคำอุปมาเรื่องแผ่นดินสวรรค์เปรียบเสมือนไข่มุกหรือขุมทรัพย์ใครที่ค้นพบก็จะซ่อนเอาไว้แล้วกลับไปขายสิ่งสารพัดที่ตนมีอยู่แล้วเอามาซื้อขุมทรัพย์นั้น (มธ.13:44-46) ทำไมเราต้องฉวยโอกาส ก็เพราะว่าในสถานการณ์เช่นนี้เป็นสถานการณ์ที่ไม่ดี เป็นกาลที่ชั่ว เราต้องรีบพาคนออกจากอำนาจมืดของมาซาตาน (อฟ.5:16) เปโตรเป็นนักฉวยโอกาสคนหนึ่ง (กจ.2:14, 41)
3.3 โดยคำพูดที่เหมาะสม (คส.4:6)
การสำแดงชีวิตอีกประการหนึ่งคือการใช้คำพูดที่เหมาะสมกับแต่ละคนและเต็มไปด้วยความเมตตา สะท้อนความดีที่อยู่ภายในออกมาเป็นคำพูด คำพูดของเราต้องเป็นคำแห่งการหนุนน้ำใจ ให้กำลังใจ พูดแง่บวก สุภาพอ่อนโยน เป็นคำพูดที่ก่อให้เกิดความหวังใจ เกิดกำลังใจ ทำให้คนมีชีวิต พระคัมภีร์บอกว่า “เป็นคำพูดที่ปรุงด้วยเกลือ” คำพูดของเราต้องประกอบไปด้วยพระคุณและเมตตา (ลก.4:22) เราต้องเลิกโกหกและหันมาพูดความจริงต่อกัน (อฟ.4:25) เพราะว่าคำพูดโกหกไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การพูดความจริงต่อกันจะช่วยเสริมสร้างมากกว่า และทำให้เกิดผลดีทั้งผู้พูดและผู้ฟัง
ดังนั้นเราต้องทำบทบาทของเราอย่างถูกต้องและดีที่สุด ถ้าเราอยากเห็นสังคมและชุมชนที่เราอยู่มีความสงบสุข มีความเจริญเราต้องอธิษฐานเผื่อสังคมของเรา เราต้องอธิษฐานเผื่อผู้นำของเราทั้งงานรับใช้ที่ผู้นำทำอยู่ รวมทั้งผู้มีสิทธิอำนาจทั้งหลายด้วย และสำแดงชีวิตที่เหมาะสม (สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ www.churchofpeace2010.org)
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
03 มิถุนายน 2554
บทบาทในที่ทำงาน
สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม 2011
พระธรรม โคโลสี 3:22-4:1
พระธรรมตอนนี้เป็นคำแนะนำของอ.เปาโลที่ต่อเนื่องมาจากครั้งที่แล้วที่เป็นเรื่องบบทบาทของผู้เชื่อในบ้าน ครั้งนี้เป็นเรื่องบทบาทในที่ทำงาน ไม่ว่าเราจะอยู่ที่บ้านหรือที่ทำงานเราต่างก็มีบทบาทที่จะต้องทำเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะไหนในที่บ้านหรือว่าที่ทำงาน เราต่างก็ต้องทำบทบาทของตัวเองให้ดีที่สุด และถูกต้องตามหลักการของพระคัมภีร์ และในที่สุดพระพรก็จะมาถึงชีวิตของเราอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเราจะดูบทบาทของเราดังต่อไปนี้
1. บทบาทของลูกจ้างต่อนายจ้าง (คส.3:22-23)
พระธรรมตอนนี้พูดถึงบทบาทของลูกจ้างว่าต้องทำอย่างไรถึงจะเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า พระคัมภีร์ได้บอกว่า “ฝ่ายพวกทาส จงเชื่อฟังผู้เป็นนายของตน...” นั่นแสดงว่า พระเจ้าต้องการให้ลูกจ้าง หรือผู้ใต้บังคับบัญชา “เชื่อฟัง” ผู้ที่เป็นเจ้านาย หรือหัวหน้า เพราะว่าการเชื่อฟังจะนำมาซึ่งพระพร และความสำเร็จก็จะตามมา การเชื่อฟัง ในเรื่องนี้เป็นคำสั่ง อ.เปาโลสั่งให้เราเชื่อฟัง การเชื่อฟังเป็นสิ่งสะท้อนความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ เราต่างก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพระคริสต์ (กท.3:28) เราต้องยอมอยู่ใต้บังคับของผู้มีอำนาจ เพราะพระเจ้าทรงอยู่เบื้องหลัง (รม.13:1-2) ลูกจ้างต้องเชื่อฟังนายจ้างอย่างไร ถึงจะถูกต้อง จากพระธรรม 2 ข้อนี้เราได้เห็นท่าทีการเชื่อฟัง 2 ประการ
1.1 เชื่อฟังทุกอย่าง (คส.3:22)
พระคัมภีร์บอกให้เราเชื่อฟังตามเนื้อหนังทุกอย่าง ไม่ใช่เชื่อฟังเฉพาะผู้นำฝ่ายวิญญาณเท่านั้น แต่ต้องเชื่อฟังผู้บังคับบัญชาฝ่ายเนื้อหนังด้วย การเชื่อฟังที่ถูกต้อง ต้องเชื่อฟังทุกอย่างที่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์และกฎหมาย ตามกฎศีลธรรมอันดีงาม ถ้านายจ้างสั่งสิ่งที่ถูกต้องก็ให้เชื่อฟังอย่าได้เถียงเลย (ทต.2:9) พระเจ้าสอนให้เราเชื่อฟังสิ่งที่ไม่ขัดกับหลักการพระคัมภีร์ (อฟ.6:5-6) เราต้องทำเหมือนกับทำให้พระเจ้าไม่ใช่ทำให้กับมนุษย์
1.2 ยำเกรงและเต็มใจ (คส.3:23)
ความยำเกรงคือการมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางในชีวิต ทุกอย่างที่เราทำมีพระเจ้าเป็นแรงจูงใจสูงสุด คือเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า ทำทุกสิ่งเหมือนทำให้กับพระเจ้า ทำทุกอย่างโดยนึกถึงพระเจ้าก่อนเสมอ การเชื่อฟังนายจ้างต้องมีความเต็มใจและด้วยความยำเกรงพระเจ้า เราต้องทำหน้าที่ของเราอย่างดีเลิศ ถ้าเจ้านายของเราเป็นคริสเตียนเราต้องยิ่งให้ความเคารพให้มากด้วย (1ทธ.6:2) เราต้องมีท่าทีที่ถูกต้องต่อหัวหน้างานของเรา
2. บทบาทของนายจ้าต่อลูกจ้าง (คส.4:1)
เราทราบดีแล้วว่าพระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าที่มีความสมดุลย์ พระเจ้าสอนให้เราสมดุลย์ในทุกๆ ด้าน ถ้าเราเป็นผู้ปกครองก็ต้องปกครองอย่างเที่ยงธรรม ให้ความเท่าเทียมกัน เสมอภาคกันในการดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา หรือคนที่อยู่ภายใต้การดูแลของเรา เพราะว่าเราก็มีเจ้านายที่อยู่ในสวรรค์คอยดูเราอยู่เช่นกัน (อฟ.6:9) ถึงแม้นายจ้างหรือว่าพ่อแม่จะไม่สามารถทำตามพระคัมภีร์ได้ทุกอย่าง ลูกจ้างหรือว่าลูกๆ ก็ไม่มีสิทธิ์ไม่เชื่อฟัง ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
3. ผลที่เกิดขึ้น (คส.3:24-25)
3.1 ได้รับบำเหน็จ (คส.3:24)
เมื่อเราทำสิ่งที่ถูกต้องไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะไหนเราก็จะได้รับบำเหน็จรางวัลจากพระเจ้าทั้งสิ้น บำเหน็จรางวัลที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้กับเรา เป็นบำเหน็จรางวัลที่จะหาสิ่งใดมาเทียบไม่ได้เลย ถ้าเราทำด้วยท่าทีถูกต้องเราก็ไม่ต้องกลัวการพิสูจน์ (1คร.3:13-15) พระเจ้าผู้ทรงสถิตย์ในสวรรค์จะเป็นผู้พิสูจน์เราเอง (มธ.6:1) จงมีความหวังและมีความชื่นชมยินดี เพราะว่าบำเหน็จของเราจะมีบริบูรณ์ในสวรรค์ (มธ.5:12) เราต้องรักษาท่าทีของเราเอาไว้ให้ดี
3.2 ไม่ถูกลงโทษ (คส.3:25)
เมื่อเราทำสิ่งที่ถูกต้องและมีท่าทีที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิตของเรา ไม่ว่าเราจะเป็นลูกจ้างหรือว่านายจ้าง เราได้ทำบทบาทของเราอย่างถูกต้อง พระพรจะเป็นของเรา เราไม่ต้องถูกลงโทษ การถูกลงโทษเป็นของคนที่ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พระเจ้าจะไม่ปล่อยเอาไว้แน่ เราต้องรายงานตัวต่อพระเจ้าในวันสุดท้ายทุกคน (2คร.5:10) วันนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำจะปรากฎให้เห็น ไม่ว่าเราทำด้วยท่าทีอย่างไร พระเจ้าจะพิพากษาเราตามการกระทำของเรา
ดังนั้นเราจะต้องมีแรงจูงใจที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าเราจะอยู่ที่บ้านหรือว่าที่ทำงาน ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะไหน ไม่ว่าเราจะเป็นพ่อแม่ หรือว่าเป็นลูก ไม่ว่าเราเป็นเจ้านายหรือลูกน้อง เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เพราะว่าพระเจ้าผู้เป็นเจ้านายสูงสุด เป็นผู้ประทานสิทธิอำนาจนั้น และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังผู้มีสิทธิอำนาจนั้น ถ้าเราเชื่อฟังและทำตามด้วยใจยำเกรงและเต็มใจ พระพรก็จะเป็นของเรา เราไม่ต้องถูกลงโทษ (สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ www.churchofpeace2010.org)
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)