สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม 2012
พระธรรม มัทธิว 9:9-13
มัทธิว หรืออีกชื่อหนึ่งว่า เลวี เป็นนายด่านภาษี เป็นคนธรรมดา แท้จริงแล้วเป็นที่รังเกียจของคนทั้งเมือง เพราะเป็นคนยิวที่ไปรับใช้โรมันและยังเป็นคนคดโกงอีกด้วย แต่เมื่อพระเยซูเรียกให้ติดตามพระองค์มัทธิวก็ตอบสนองอย่างทันทีทันใด เขาได้จัดเลี้ยงอาหารเพื่อเป็นเกียรติแก่พระเยซู (ลก.5:29) และมีคนมากมายที่เป็นคนเก็บภาษีและคนอื่นๆมาร่วมสำรับด้วย มัทธิวไม่ได้ดูที่ความจำกัดของตัวเอง หรือไม่ได้มองที่ว่าใครจะว่าเขาอย่างไร มัทธิวได้ชวนเพื่อนๆที่เป็นคนเก็บภาษีและคนอื่นๆ มาหาพระเยซู แม้ว่าจะมีอุปสรรคมากมายแต่มัทธิวก็สามารถเอาชนะได้ อุปสรรคภายนอกไม่สำคัญเท่ากับอุปสรรคภายใน และอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดที่ทำให้เราไม่สามารถก้าวไปสู้เป้าหมายได้ หรือทำให้เราไม่กล้าทำอะไรเลย ก็คือ ความคิด ของเราเอง จากตัวอย่างของมัทธิวในพระธรรมตอนนี้ มัทธิวได้เอาชนะอุปสรรคสำคัญทางความคิด 4 ประการ ได้คือ
1. ชีวิตเราไม่ดีพอ (มธ.9:9)
การเป็นคนเก็บภาษีให้กับโรมนั้น ในสายตาของคนยิวด้วยกันแล้วเป็นเหมือนคนที่ขายชาติ ขายตัวเองให้กับโรม มัทธิวไม่ได้มองดูว่าชีวิตของตนเองดีพอหรือไม่ หรือไม่ได้สนใจว่าคนอื่นมองตนเองอย่างไร แต่มัทธิวมองเห็นโอกาสที่พระเจ้าหยิบยื่นให้ ที่พระเยซูได้มาเรียกเขาให้ติดตามพระองค์ และได้เชิญพระเยซูเข้ามาในบ้านและจัดงานเลี้ยงให้กับพระเยซู ไม่เพียงเท่านั้น มัทธิวยังได้ชวนเพื่อนๆที่เป็นคนเก็บภาษีและคนอื่นๆอีกมากให้มาร่วมงานนี้ เพื่อจะได้ฟังคำหนุนใจจากพระเยซู แต่ถ้าเรามัวแต่มองดูว่าชีวิตเราดีหรือยัง หรือพร้อมหรือยังคงไม่มีใครดีหรือพร้อมแล้ว เพราะว่าเราทุกคนต่างก็บเป็นคนบาป (รม.3:23) (รม.6:23) (รม.5:8-9) (2คร.5:17) เราควรที่จะกลับบ้านไปจัดงานเลี้ยงใหญ่ให้กับพระเยซูและก็เชิญเพื่อนบ้านของเรามาร่วมรับประทานอาหารกับพระเยซู ดังนั้นให้เราลบความคิดที่ว่า เรายังไม่ดีพอออกไปจากชีวิตของเรา
2. เราประกาศไม่เป็น (มธ.9:9-10)
มัทธิวพึ่งจะตอบสนองการทรงเรียกของพระเจ้า ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพระเยซูเลย แต่สิ่งที่มัทธิวทำคือจัดงานเลี้ยงอาหารให้กับพระเยซู เพื่อจะได้ฟังสิ่งที่พระเยซูจะพูดให้ฟัง แต่มัทธิวไม่ได้ฟังคนเดียวได้ชวนเพื่อนๆที่มีอาชีพเดียวกันกับตนเองและคนอื่นๆอีกมากมาฟังพระเยซู มัทธิวไม่ได้รอให้ประกาศเป็นก่อน แต่เขาเริ่มทั้งๆที่ยังไม่รู้อะไรเลย ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องรอเวลาหรือรอให้เราประกาศเป็นหรือเก่งก่อน เราสามารถพาเพื่อนหรือคนอื่นๆทีเรารู้จักมาหาพี่น้องหรือผู้นำของเราให้เขาเล่าเรื่องราวของพระเจ้าให้ฟังได้ พระเจ้าสามารถใช้เราได้ เพียงแต่เรามีใจให้กับพระเจ้าเท่านั้น เราควรที่จะเลียนแบบมัทธิว โดยการเปิดบ้านออก เชิญชวนเพื่อนๆของเรามาทานอาหารที่บ้านและเป็นพยานเล่าประสบการณ์ชีวิตของเราให้เพื่อนๆฟัง (กจ.1:8) (มก.6:7) ดังนั้นจงออกไปประกาศด้วยความกล้าหาญ
3. คงไม่มีใครสนใจ (มธ.9:10)
หลายคนคงคิดว่า เวลานี้เศรษฐกิจไม่ดี ปัญหามากมาย วุ่นวายไปหมด คนคงไม่มีใครสนใจที่จะฟังเรื่องราวของพระเจ้า หรือแม้แต่คำพยานของเรา ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง เพราะว่ายิ่งมีปัญหามากเท่าไหร่ คนยิ่งต้องการที่พึ่งมากเท่านั้น คนต้องการทางออก คนต้องการสิ่งที่เขาจะยึดเหนี่ยวเอาไว้ได้ ทุกคนมีความต้องการที่พึ่งทางใจ เราเห็นได้จากคนไขว่คว้าสิ่งต่างๆมาเป็นที่พึ่งทางใจของเค้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรแปลกๆ คนก็จะไปกราบไหว้ นี่เป็นสิ่งบ่งชี้ว่า คนต้องการที่พึ่ง และที่พึ่งที่ดีที่สุดคือ พระเจ้า เราต้องรีบนำพระเจ้าไปหยิบยื่นให้กับเขา มัทธิวได้พาเพื่อนๆของเค้ามาหาพระเยซู หลังจากได้พบกับพระเยซูแล้วมีหลายคนได้ติดตามพระองค์ไป (มก.2:15) (มธ.9:12) (รม.10:14-15) นี่คือหน้าที่ของเราโดยตรง อย่าคิดว่าไม่มีใครสนใจ
4. เดี๋ยวคนจะว่าเราบ้า (มธ.9:11-13)
พวกฟาริสีมาพูดเป็นเชิงต่อว่ากับสาวกของพระเยซูว่าทำไมพระเยซูจึงกินข้าวกับคนเก็บภาษีและคนนอกรีต พูดในทำนองที่กว่า บ้าไปแล้วหรือ ไม่รู้หรือว่า พวกคนเหล่านั้นเป็นที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง ทำไมไม่ไปกินข้าวกับพวกของตน บางคนอาจจะกลัวถูกเพื่อนๆว่า บ้าหรือเปล่าอยู่ๆก็มาเป็นคริสเตียน ไอ้พวกขายชาติเดินตามก้นฝรั่ง บางคนอาจจะถูกต่อว่าเช่นนี้ แต่พี่น้องที่รัก จงขอบคุณพระเจ้าเถอะเพราะนี่คือสิทธิพิเศษที่เราได้รับ ใครจะว่าเราบ้าหรืออย่างไรไม่ต้องไปสนใจกับคำพูดเหล่านั้น เพราะว่ามันไม่ได้เป็นความจริงและไม่ได้เสริมสร้างชีวิตของเรา พระเจ้าดูที่ท่าทีภายในใจของเรามากกว่า (มธ.9:12-13) (ลก.22:42) (ยก.5:7) อย่างกลัวใครว่าเราบ้าไปแล้ว แต่จงขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี
ดังนั้นให้เราทำลายความคิดที่เป็นอุปสรรคในการประกาศเรื่องราวของพระเจ้าออกไปให้หมดจากความคิดของเรา ความคิดที่ไม่ถูกต้องเป็นอุปสรรคที่สำคัญในชีวิตของเรา (สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.churchofpeace2010.org)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น