สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม 2011
พระธรรม มัทธิว 8:23-27
หลังจากที่พระเยซูได้เทศนาบนภูเขาแล้ว พระองค์ได้เสด็จลงไปรักษาตามหมู่บ้านต่างๆ รอบๆ ทะเลสาบกาลิลี พระองค์ได้ทำการอัศจรรย์อีกมากมาย ได้ขับผีออกจากคนเป็นอันมาก พระองค์ได้รักษาบ่าวของนายร้อยที่เป็นง่อยให้หาย ได้รักษาแม่ยายของเปโตร พระเยซูยังได้ท้าทายให้คนเดินติดตามพระองค์อย่างแน่วแน่ และพร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งต่างๆ อย่างไม่หวั่นไหว หลังจากนั้นพระเยซูได้เสด็จลงเรือไปกับเหล่าสาวก เพื่อจะข้ามไปอีกฟากหนึ่งของทะเลสาบกาลิลี ซึ่งเป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่ ขณะที่เรือกำลังแล่นอยู่กลางทะเลสาบก็เกิดพายุใหญ่ขึ้นในขณะที่พระองค์กำลังหลับอยู่บนเรือ สาวกเกิดความกลัวขึ้นมาอย่างจับใจ เลยมาปลุกพระเยซู ความกลัวของสาวกเป็นเช่นมรสุมที่เกิดขึ้น อะไรเป็นสาเหตุของความกลัว และเราจะเอาชนะความกลัวได้อย่างไร เราสามารถเรียนรู้จากพระธรรมตอนนี้ได้ 3 ประการ
1. ดูที่สถานการณ์รอบตัว (มธ.8:23-25)
พายุใหญ่เกิดขึ้นขณะที่พระเยซูอยู่กับเหล่าสาวกอยู่ในเรือ แต่สาวกกลับไปมองดูอยู่ที่พายุใหญ่ที่กำลังโหมกระหน่ำเข้ามา จึงทำให้สาวกเกิดความกลัวขึ้นอย่างจับใจ ทำให้เหล่าสาวกทำอะไรไม่ถูก เกิดอาการรนรานขึ้นมา พี่น้องที่รักหลายต่อหลายครั้งที่ในชีวิตจริงของเราก็เป็นเช่นนี้ สายตาของเราจับจ้องอยู่ที่ปัญหาต่างๆ ที่โถมทับเข้ามาหาเรา ทำให้เราทำอะไรไม่ถูก บางคนถึงกับเป็นลมหมดสติไปเพราะความกลัว เราสามารถควบคุมการตอบสนองของเราได้ อ.เปาโลบอกกับเราว่า อย่าเป็นเด็กอีกต่อไป (อฟ.4:14) พระเยซูบอกว่าให้เราคิดใคร่ควรให้ดี (ลก.14:28-32) ไม่ว่าเราเผชิญสถานการณ์อย่างไร ให้เรามองไปที่พระเยซูผู้ที่ควบคุมทุกสิ่งไว้ ผู้ที่เป็นใหญ่กว่าสิ่งใดๆ ให้เราพึ่งพาพระคุณและฤทธิ์เดชของพระเจ้า เช่นเดียวกับกษัตรย์เยโฮซาฟัสแม้จะมีความกลัวแต่ท่านแสวงหาพระเจ้า (2พศด.20:1-3) ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ใดไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหนให้เรามองไปที่พระเจ้า
2. ขาดความเชื่อ (มธ.8:26)
ไม่เพียงมองที่สถานการณ์เท่านั้น แต่เหล่าสาวกยังขาดความเชื่ออีก จึงเป็นเหตุให้เกิดความกลัวอย่างจับใจขึ้นมา ทั้งๆ ที่เหล่าสาวกเคยเห็นการอัศจรรย์มากมายที่พระเยซูทรงกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงอาหารคนห้าพันคนด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว แต่ยังทำให้เหล่าสาวกพวกนี้กลัวได้อีก จนพระเยซูต้องตำหนิว่า “เหตุไฉนจึงขลาดนัก ช่างมีศรัทธาน้อยเสียจริงๆ” ความเชื่อเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตคริสเตียน เมื่อขาดความเชื่อก็ทำให้เกิดความกลัว ถ้าไม่มีความเชื่อแล้วจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าไม่ได้เลย (ฮบ.11:6) จงอธิษฐานด้วยความเชื่ออย่าสงสัยเลย (ยก.1:6) ถ้าเราขาดความเชื่อก็ให้เราอธิษฐานขอต่อพระเจ้า (ลก.22:32) ถ้าเราขาดความเชื่อก็ให้เราประกาศพระนามของพระเจ้า (รม.10:17) ถ้าเราขาดความเชื่อก็ให้เรามองที่ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า (1ซมอ.17:32-37) อ.เปาโล บอกว่าพระองค์ทรงช่วยเราแล้วและจะทรงช่วยเราอีก (2คร.1:8-10) จงมีความเชื่อ ถ้าเรามีความเชื่อแล้วเราจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
3. ไม่รู้จักพระเจ้าจริงๆ (มธ.8:27)
เมื่อพระเยซูต่อว่าสาวกเสร็จพระองค์ก็ทรงห้ามลมและทะเล คลื่นลมก็สงบ เหล่าสาวกจึงเกิดการอัศจรรย์ใจและพูดกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นคนอย่างไรหนอ ลมและทะเลยังเชื่อฟังท่าน” สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า เหล่าสาวกยังไม่รู้จักพระเยซูอย่างแท้จริง แม้ว่าพวกเหล่าสาวกจะเคยเห็นพระเยซูทำการอัศจรรย์มาแล้วก็ตาม พวกเขาอาจจะรู้จักพระเยซูเพียงแค่เป็นครูสอนศาสนาหรือเป็นผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้รู้จักพระเยซูในฐานะพระบุตรของพระเจ้า ให้เรารู้จักพระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุด ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง (คส.1:16) เมื่อรู้จักรพระเจ้าแล้วเราจะวางใจในพระองค์เหมือนอย่างดาวิด (สดด.56:3-4) พระเจ้าไม่ได้ทรงประทานจิตใจที่ขลาดกลัวให้กับเรา (2ทธ.1:7) จงเรียนรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง และไว้วางใจในพระองค์ ให้พระองค์ทรงนำพาชีวิตของเราไปตามน้ำพระทัยของพระองค์
ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างมองที่สถานการณ์เท่านั้น แต่ให้มองไปที่พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ จงมีความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงเป็นขึ้นจากความตาย และจงเรียนรู้จักพระองค์จากเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับเรานั้นเพื่อเราจะได้รู้จักกับพระเจ้าอย่างแท้จริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น