สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2012
พระธรรม มัทธิว 14:13-231
เมื่อพระเยซูทราบข่าวเรื่องยอห์นซึ่งเป็นทั้งญาติสนิทและเป็นเพื่อนที่รับใช้พระเจ้าด้วยกันเสียชีวิต
พระองค์สะเทือนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับยอห์น พระเยซูต้องการจะหาที่พักสงบและอธิษฐานกับพระบิดา
พระองค์เดินทางไปยังที่หนึ่ง แต่เมื่อประชาชนทราบว่าพระเยซูกำลังไปที่ใด
พวกเขาก็พากันมารอพบพระองค์ เพื่อจะฟังคำสอนและให้พระองค์รักษาคนเจ็บคนป่วยให้หาย
เมื่อพระเยซูเห็นความต้องการของคนที่มาหา พระองค์ มีความต้องการความช่วยเหลือ
พระองค์ไม่ได้บอกให้คนเหล่านั้นรอก่อน หรือบอกกับพวกเขาว่า
พระองค์ขอพักสักหน่อยก่อน แต่พระคัมภีร์ได้บอกว่า พระองค์ทรงสงสารเขาจึงได้รักษาคนป่วยของเขาให้หาย
นี่คือหัวใจของพระเยซูที่สะท้อนออกมาให้เห็น เป็นการช่วยคนอื่นที่ลำบากกว่า
เราเห็นสิ่งที่พระเยซูช่วยคนเหล่านั้นอย่างไรบ้าง
1.ช่วยด้วยใจเมตตา
(ข้อ13-14)
พระคัมภีร์บอกว่า
“พระองค์ทรงสงสารเขา” การช่วยของพระเยซูมาจากใจที่มีความเมตตาสงสาร
ไม่ได้มาจากหน้าที่ แม้พระองค์จะมาเพื่อช่วยคนทั้งหลายก็จริง
แต่พระองค์ไม่ได้ทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นด้วยรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ
แต่ทำด้วยหัวใจที่รู้สึกสงสาร ที่เห็นความทุกข์ยาก เห็นความเจ็บป่วย
เห็นความทรมานของคนเหล่านั้น ความสงสารที่พระเยซูมีนั้นมากกว่าความสะเทือนใจที่พระองค์ได้รับจากเหตุการณ์ของยอห์น
พระเยซูได้เสียสละตัวเองเพื่อช่วยคนอื่นก่อน แบบอย่างของพระเยซูถูกถ่ายทอดมาถึงอาจารย์เปาโล
จนทำให้อาจารย์เปาโลเสียสละด้วย ท่านกล่าวว่า ท่านยอมเสียสละ เพราะข่าวประเสริฐ
(ฟป.3:8)
ดังนั้นการที่เราจะช่วยเหลืออะไรใครให้เราช่วยด้วยใจที่เมตตาสงสารเหมือนพระเยซู
เพราะสิ่งที่เราทำลงไปจะไม่สูญเปล่า พระเจ้าจะทรงจดจำสิ่งที่เราทำเอาไว้ (1คร.15:58) อาจารย์เปาโลบอกว่า ให้เราทำทุกสิ่งด้วยความเต็มใจ
ไม่ใช่ด้วยการฝืนใจ (2คร.9:7) ดังนั้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไปให้เรารับเอาใจเมตตาของพระเยซูเข้ามา
2.ช่วยมากกว่าที่ขอ
(ข้อ15-16)
ประชาชนเหล่านั้นที่มาหาพระเยซูเพื่อต้องการได้ยินคำสอนและการรักษาโรคจากพระเยซู
คนเหล่านั้นไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านั้นอีกแล้ว เพราะพวกเค้ารู้ว่าการที่ได้ยินสิ่งที่พระเยซูสอนพวกเค้าก็มากพอสำหรับเขาแล้ว
ทำให้พวกเขามีความสุขและมีความอิ่มเอมใจมากพอแล้ว แต่สาวกของพระเยซูก็มาบอกว่าเวลานี้ก็เย็นมากแล้ว
ขอให้พระเยซูปล่อยให้พวกเขากลับบ้านไปเถอะ เพราะว่าที่นี่กันดานอาหาร พระเยซูจึงได้บอกให้สาวกเลี้ยงอาหารคนเหล่านั้น
ซึ่งนับเฉพาะผู้ชายได้ 5000 คน
พระเยซูช่วยคนเหล่านั้นมากกว่าที่พวกเขาคาดหวัง ช่วยในสิ่งที่จำเป็น
ช่วยในเวลาที่เหมาะสม พระองค์ทำมากกว่าที่คิด พระเยซูสอนให้เราช่วยคนให้มากกว่าที่เขาขอจากเรา
(มธ.5:40-42) เราต้องไวต่อความต้องการของคนอื่น
เราต้องสังเกตและสนใจในความต้องการของคนอื่น
เพื่อเราจะได้ช่วยเขาได้โดยไม่ต้องให้เขาร้องขอจากเรา
3.มองที่ความต้องการ
(ข้อ17-21)
พวกสาวกมาบอกพระเยซูว่ามีแค่ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว
สาวกคงคิดว่าอาหารแค่นี้จะพออะไรสำหรับคนตั้งมากมายขนาดนี้ เงินก็ไม่มีจะไปซื้ออาหาร
แม้มีเงินก็ไม่รู้จะไปซื้อที่ไหน เพราะคงไม่มีใครเตรียมเอาไว้อย่างแน่นอน
สาวกมองดูที่ความจำกัดของตัวเอง แต่พระเยซูมองที่ความต้องการของคนเหล่านั้น
ซึ่งสิ่งที่พระเยซูมองเห็นต่างกับสิ่งที่สาวกมองเห็น เราต้องฝึกที่จะมองแบบพระเยซู
มองที่ความต้องการไม่ใช่มองที่ความจำกัด เพราะพระเจ้าของเราไม่จำกัด
อย่าติดอยู่ที่ความจำกัดของตัวเอง ในพระเจ้ามีทางออกเสมอ
เราต้องพัฒนาความคิดของเราและเปลี่ยนให้ถูกต้อง
พระเจ้าสามารถทวีคูณสิ่งที่เรามีอยู่ได้ จงมีความเชื่อ
จงมองดูที่พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุด
4.ช่วยจนถึงที่สุด (ข้อ22-23)
ไม่เพียงแต่พระเยซูจะรักษาโรคให้เขา
เทศนาสั่งสอน หนุนใจ ให้กำลังใจ เลี้ยงอาหารพวกเค้าแล้ว
พระเยซูยังทำมากกว่านั้นอีก คือยืนส่งคนเหล่านั้นที่กินอาหารเสร็จแล้วกลับบ้านจนหมด
พระองค์ไม่ได้บอกกับคนเหล่านั้นว่า เมื่อท่านทั้งหลายกินเสร็จแล้วก็กลับบ้านไปนะ
เราจะไปพักผ่อนแล้ว พระองค์ไม่ได้กล่าวและทำเช่นนั้น พระองค์ส่งสาวกของพระองค์ไปพักผ่อนก่อน
เพราะว่าพวกเขาเหนื่อยมามากแล้ว พระองค์รอส่งประชาชนจนหมด พระองค์ทำอย่างดีที่สุด
ช่วยจนถึงที่สุด ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นภาระหนัก แล้วจึงขึ้นไปแสวงหาพระเจ้า
อธิษฐานกับพระบิดาของพระองค์ พระเยซูรู้ว่าอาหารนั้นจำเป็นสำหรับร่างกาย
จิตวิญญาณก็สำคัญ จึงบอกแก่เราว่า ให้เราแสวงหาอาหารนิรันดร์ด้วย (ยน.6:27)
อย่างมัวแต่ที่จะช่วยคนในฝ่ายกายภาพเท่านั้น จงช่วยเหลือคนในฝ่ายวิญญาณด้วย
จงช่วยทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ
ดังนั้นเราต้องขอให้เรามีวิญญาณ
มีหัวใจเหมือนพระเยซูคริสต์ในการที่จะช่วยคนอย่างที่พระเยซูทำ ทำอย่างดีที่สุด
ด้วยใจที่เมตตา ช่วยมากกว่าที่ขอ มองที่ความต้องการ ช่วยจนถึงที่สุด
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น