18 มีนาคม 2554

ปลดปล่อยโดยพระคุณ


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม 2011

พระธรรม โคโลสี 2:16-23

อ.เปาโล ได้เตือนสติและหนุนใจพี่น้องให้ระวังอย่าให้ใครมาปรักปรำเราโดยเอากฎเกณฑ์ที่มนุษย์เป็นคนตั้งขึ้นมา ทำให้เราหลงไปจากทางของพระเจ้า หรือจมปลักอยู่กับพันธนาการ  เมื่อเรากลับใจเชื่อพระเจ้า เราได้รับการยกโทษบาปโดยพระเจ้าแล้ว เราจึงไม่ได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติอีกต่อไป ดังนั้นถ้าเราจะเติบโตขึ้นกับพระเจ้า เราต้องไม่ดำเนินชีวิตภายใต้การปรักปรำของธรรมบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณของพระเจ้า ธรรมบัญญัติทำให้เรารู้จักบาป แต่เราได้รับการปลดปล่อยโดยพระคุณของพระเจ้า ใช่ว่าธรรมบัญญัติ หรือกฎเกณฑ์ของมนุษย์นั้นไม่ดี แต่ว่ามันดีเกินไปจนทำไม่ได้ เพราะว่าถ้าทำผิดข้อหนึ่งก็เท่ากับทำผิดหมดทุกข้อ เรามาดูเหตุผล 4 ประการที่เราไม่ต้องตกอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพราะธรรมบัญญัติ
1. เป็นเพียงภาพเงาของเหตุการณ์จริง (คส.2:16-18)
ธรรมบัญญัติเป็นเพียงภาพเงาที่เล็งถึงพระเยซูที่จะมาทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์ โดยการฉีกกรมธรรม์ที่ผูกมัดเราไว้ โดยกางเขน (คส.2:14-15) อ.เปาโล ได้เตือนว่าอย่าทุ่มเถียงกันในเรื่องเหล่านี้ (รม.14:1-3) เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องการกินและการดื่ม (รม.14:17) แต่เราก็ไม่ควรใช้เสรีภาพของเรา (รม.14:15) แต่ให้หลีกหนีหรืองดเว้นจากสิ่งที่เป็นมลทิน (กจ.15:20) บางคนยกพระคัมภีร์บางตอนมาปรักปรำพี่น้องของตน เกี่ยวกับเรื่องวันขึ้นค่ำและวันสะบาโต (อสค.45:15-17) เป็นวันพักสงบในพระเจ้า การพักสงบกับพระเจ้าไม่ใช่เฉพาะวันอาทิตย์หรือวันเสาร์เท่านั้น  (ปฐก.1:31) หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเรื่องของพฤติกรรมภายนอก แต่พระเจ้าดูที่ภายใน (รม.2:28-29) ธรรมบัญญัติเป็นเพียงภาพเงา (ฮบ.10:1) ของพระเยซู

2. เป็นเพียงรูปแบบภายนอก (คส.2:18, 23)
พระคัมภีร์บอกว่าอย่าให้ใครมาตัดสิทธิ์ หมายถึงการล่อลวง ดูเหมือนถ่อมใจ แต่แท้จริงหาเป็นเช่นนั้นไม่  อย่าเป็นเหมือนฟาริสีที่ยืนอธิษฐานตามตลาด (ลก.18:11-12) พระเยซูว่าพวกฟาริสีว่าวิบัติจะเกิดแก่เจ้า (มธ.23:27-28) อย่าถือแต่เปลือกนอก เราต้องเอาแก่นของความจริงคือสิ่งที่อยู่ภายใน เราต้องเอาหลักการความจริงของพระเจ้า ไม่ใช่เอาแต่กระพี้ (2ทธ.3:5) ยิวแท้คือยิวภายใน (รม.2:29) ชีวิตในพระเจ้าแท้ต้องเกิดขึ้นจากภายในมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า คือยอมจำนนต่อพระเจ้า (กท.2:20-21) เราไม่ใช่เจ้าของตัวเราอีกต่อไป พระคริสต์ต่างหากที่เป็นเจ้าของชีวิตเรา  เพราะว่าธรรมบัญญัติเป็นเพียงรูปแบบภายนอกเท่านั้น

3. ไม่มีพระเยซูเป็นศูนย์กลาง (คส.19)
อ.เปาโลบอกว่าเดี๋ยวนี้เรามีพระคริสต์เป็นศีรษะ คือมีพระองค์เป็นศูนย์กลางในชีวิตของเรา  เพราะผู้ที่เชื่อในพระเยซูอยู่ภายใต้การปกคลุมของพระเยซู มนุษย์เป็นคนบาปไม่มีใครสักคนเป็นคนชอบธรรมได้โดยการทำตามธรรมบัญญัติ (รม.3:20) แต่คนที่กลับมาหาพระเจ้าก็ได้รับการปลดปล่อยและมีศักดิ์ศรี (2คร.3:16-18) พระคัมภีร์บอกว่าเราไม่มีผ้าคลุมหน้าอีกต่อไป คือไม่ต้องมีอะไรมาปิดบังสง่าราศีของพระเจ้าในชีวิตของเราอีกต่อไป เพราะต่างก็เป็นอวัยวะของกันและกัน (อฟ.4:15-16)  เพราะว่าคริสเตียน ไม่ได้เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง แต่มีพระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลางในชีวิต

4. นำไปสู่ความพินาศ (คส.2:20-22)
ธรรมบัญญัติทำให้เราต้องถูกพิพากษา เพราะว่าไม่มีใครสักคนเป็นคนชอบธรรมได้โดยธรรมบัญญัติ (รม.3:20) เมื่อคนที่อยู่ติธรรมบัญญัติ ก็อยู่ใต้การพิพากษา เพราะธรรมบัญญัติเป็นเหตุให้มีการพิพากษา (รม.4:15) อ.เปาโล บอกว่าท่านได้ตายจากธรรมบัญญัติแล้วและได้มีชีวิตอยู่ในพระเจ้า (กท.2:19-20) ฟาริสีสอนว่าอาหารบางอย่างเป็นมลทิน แต่พระเยซูสอนว่า สิ่งที่อยู่ข้างในนั่นแหละเป็นมลทิน (มธ.15:18)  (2คร.10:5) เราต้องรับการชำระท่าทีภายในของเราให้สะอาด เพื่อความคิดของเราจะได้ถูกต้อง บางครั้งเราคิดว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูกต้องแต่ความจริงมันผิด (สภษ.16:25) ซึ่งนำเราไปสู่ความพินาศในที่สุด

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น