สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน 2012
พระธรรมมัทธิว 10:16-42
พระธรรมตอนนี้เป็นคำกำชับของพระเยซูที่ให้ไว้กับสาวกของพระองค์ ก่อนที่พระองค์จงส่งพวกเขาออกไปทำพันธกิจที่พระองค์ทรงเรียก คือ ออกไปประกาศแผ่นดินของพระเจ้า รักษาคนเจ็บคนป่วยให้หาย ขับผีร้ายให้ออก ซึ่งการออกไปทำพันธกิจของพระเจ้านั้น เปรียบเสมือนการออกไปสู่สงคราม ซึ่งจะต้องเผชิญกับแรงกดดัน และปัญหาต่างๆ มากมาย เพื่อไม่ให้สาวกของพระองค์ท้อถอยและหมดกำลังใจไปก่อน พระองค์จึงกำชับสาวกให้ออกไปอย่างผู้มีชัย คำกำชับของพระเยซู คือ
1. อย่าวิตกกังวล (มธ.10:17-20)
การไม่วิตกกังวลเป็นดัชนีชี้วัดความไว้วางใจพระเจ้า ถ้าหากเราไม่วิตกกังวลแล้ว เราจะสามารถที่จะควบคุมจิตใจของเราได้ เราจะสามารถเผชิญสิ่งต่างๆ ได้โดยไม่หวั่นไหว ความวิตกกังวน ไม่อาจทำให้ชีวิตของเรายืดยาวออกไปได้ (มธ.6:27) ความวิตกกังวนมักทำให้เราเห็นสิ่งเล็กๆ กลายเป็นเงาดำที่ใหญ่โต อย่าวิตกกังวนไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ให้เราวางใจในพระเจ้า ผู้ทรงรักเราอย่างมาก พระองค์จะทรงโปรดดูแลเราอย่างดี พระองค์จะทรงประทานสติปัญญาให้กับเรา (มธ.10:19-20) พระองค์จะทรงช่วยเราในยามที่เรารู้สึกว่าเราหมดหนทางแล้ว (กจ.5:27-40) ให้เรามอบความวิตกกังวนไว้กับพระเจ้า (1ปต.5:7) จงวางใจในพระเจ้าเสมอ
2. จงอดทน (มธ.10:21-27)
ความอดทนเป็นดัชนีวัดการเป็นสาวกแท้ของพระเยซูคริสต์ พระองค์บอกว่า ใครทนได้ถึงที่สุดผู้นั้นจะรอด เราต้องฝึกสร้างความอดทน เพราะความอดทนสามารถสร้างขึ้นได้ พ่อแม่ที่ฉลาดนอกจากจะสอนรู้ให้มีความรู้แล้วยังต้องสอนลูกให้มีความอดทนอีกด้วย พระคัมภีร์บอกว่า บุคคลผู้โกรธช้าก็ดีกว่าคนมีกำลังมาก (สภษ.16:32) คนที่โกรธช้าคือคนที่ควบคุมตัวเองได้ พระองค์สอนให้เราอดทนอย่างมีความหวังใจเสมอ ไม่ใช่อดทนอย่างไร้ความหวัง (มธ.10:21-23) และเมื่อเราอดทนเราก็จะเกิดความเข้าใจ (มธ.10:24-27) ความอดทนจะช่วยเราให้เรียนรู้ความจริงและมองเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ดังนั้นจงอดทนในทุกสิ่ง
3. อย่าตกอยู่ใต้ความกลัว (มธ.10:28-33)
ความกลัวไม่ใช่เป็นสิ่งที่ไม่ดีเสมอไป ขึ้นอยู่กับว่าเรากลัวอะไร ความกลัวบางครั้งก็เป็นสิ่งที่ดี เช่นกลัวการทำผิดบาป เป็นต้น พระคัมภีร์สอนเราว่า อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่จงยำเกรงพระองค์องค์ซึ่งทำให้จิตวิญญาณพินาศได้ จงยำเกรงพระเจ้าผู้ทรงควบคุมทุกสิ่งไว้ ถ้พระองค์ไม่ทรงอนุญาตสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าพระเจ้าจะให้ใครก็ขัดขวางไม่ได้เช่นกัน เราเป็นคนที่มีคุณค่าในสายตาของพระเจ้า พระองค์สนใจเราแม้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งบางครั้งเราเองก็ยังไม่เคยให้ความสนใจกับสิ่งนั้นเลย (มธ.10:30) เราต้องกล้าที่จะยอมรับความพระเจ้าต่อหน้าคนทั้งปวง (มธ.10:32-33) เพราะพระองค์ก็จะทรงกระทำเช่นนั้นต่อพระบิดาที่ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์ จงรู้เถอะว่าพระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าที่ทรงมีชัยชนะเหนือโลกนี้ (ยน.16:33) ยิ่งเรากลัวเรายิ่งวิ่งหนี มันก็ยิ่งไล่ตามเรา และในที่สุดเราก็ล้มลง ดังนั้นจงอย่ากลัว จงวางใจในพระเจ้า
4. จงเห็นคุณค่าพระเจ้า (มธ.10:34-42)
การเห็นคุณค่าพระเจ้าเป็นดัชนีชี้วัดการเป็นสาวกได้เป็นอย่างดี สาวกคือผู้ที่ติดตาม ผู้ที่ทำตาม พระเยซูบอกว่า พระองค์ไม่ได้นำสันติภาพมาสู่โลก แต่ได้นำดาบมา นั่นไม่ได้หมายความว่า พระองค์นำการทำลายล้างมา แต่พระองค์กำลังส่งบททดสอบมาให้กับสาวกของพระองค์ ว่า สาวกคนนั้นจะเลือกสิ่งใด ระหว่างพระเจ้ากับความสัมพันธ์ในครอบครัวหรือคนใกล้ชิด (มธ.10:34-37) หรือว่าพระเจ้ากับคชตัวเอง (มธ.10:38-42) ซึ่งเป็นเครื่องทดสอบจิตใจของเราเป็นอย่างดีว่าเราจะเลือกพระเจ้าที่ทรงตายเพื่อเราหรือว่าเราจะเลือกสิ่งต่างๆ ที่ไม่เที่ยงแท้ เราต้องเลือกตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง เราต้องเห็นคุณค่าพระเจ้ามากกว่าสิ่งใดๆ เพื่อพระเจ้าจะทรงประทานความสำเร็จให้กับเราทั้งหลายผู้เป็นสาวกของพระองค์
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น