สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม 2011
พระธรรม โคโลสี 3:22-4:1
พระธรรมตอนนี้เป็นคำแนะนำของอ.เปาโลที่ต่อเนื่องมาจากครั้งที่แล้วที่เป็นเรื่องบบทบาทของผู้เชื่อในบ้าน ครั้งนี้เป็นเรื่องบทบาทในที่ทำงาน ไม่ว่าเราจะอยู่ที่บ้านหรือที่ทำงานเราต่างก็มีบทบาทที่จะต้องทำเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะไหนในที่บ้านหรือว่าที่ทำงาน เราต่างก็ต้องทำบทบาทของตัวเองให้ดีที่สุด และถูกต้องตามหลักการของพระคัมภีร์ และในที่สุดพระพรก็จะมาถึงชีวิตของเราอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเราจะดูบทบาทของเราดังต่อไปนี้
1. บทบาทของลูกจ้างต่อนายจ้าง (คส.3:22-23)
พระธรรมตอนนี้พูดถึงบทบาทของลูกจ้างว่าต้องทำอย่างไรถึงจะเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า พระคัมภีร์ได้บอกว่า “ฝ่ายพวกทาส จงเชื่อฟังผู้เป็นนายของตน...” นั่นแสดงว่า พระเจ้าต้องการให้ลูกจ้าง หรือผู้ใต้บังคับบัญชา “เชื่อฟัง” ผู้ที่เป็นเจ้านาย หรือหัวหน้า เพราะว่าการเชื่อฟังจะนำมาซึ่งพระพร และความสำเร็จก็จะตามมา การเชื่อฟัง ในเรื่องนี้เป็นคำสั่ง อ.เปาโลสั่งให้เราเชื่อฟัง การเชื่อฟังเป็นสิ่งสะท้อนความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ เราต่างก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพระคริสต์ (กท.3:28) เราต้องยอมอยู่ใต้บังคับของผู้มีอำนาจ เพราะพระเจ้าทรงอยู่เบื้องหลัง (รม.13:1-2) ลูกจ้างต้องเชื่อฟังนายจ้างอย่างไร ถึงจะถูกต้อง จากพระธรรม 2 ข้อนี้เราได้เห็นท่าทีการเชื่อฟัง 2 ประการ
1.1 เชื่อฟังทุกอย่าง (คส.3:22)
พระคัมภีร์บอกให้เราเชื่อฟังตามเนื้อหนังทุกอย่าง ไม่ใช่เชื่อฟังเฉพาะผู้นำฝ่ายวิญญาณเท่านั้น แต่ต้องเชื่อฟังผู้บังคับบัญชาฝ่ายเนื้อหนังด้วย การเชื่อฟังที่ถูกต้อง ต้องเชื่อฟังทุกอย่างที่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์และกฎหมาย ตามกฎศีลธรรมอันดีงาม ถ้านายจ้างสั่งสิ่งที่ถูกต้องก็ให้เชื่อฟังอย่าได้เถียงเลย (ทต.2:9) พระเจ้าสอนให้เราเชื่อฟังสิ่งที่ไม่ขัดกับหลักการพระคัมภีร์ (อฟ.6:5-6) เราต้องทำเหมือนกับทำให้พระเจ้าไม่ใช่ทำให้กับมนุษย์
1.2 ยำเกรงและเต็มใจ (คส.3:23)
ความยำเกรงคือการมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางในชีวิต ทุกอย่างที่เราทำมีพระเจ้าเป็นแรงจูงใจสูงสุด คือเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า ทำทุกสิ่งเหมือนทำให้กับพระเจ้า ทำทุกอย่างโดยนึกถึงพระเจ้าก่อนเสมอ การเชื่อฟังนายจ้างต้องมีความเต็มใจและด้วยความยำเกรงพระเจ้า เราต้องทำหน้าที่ของเราอย่างดีเลิศ ถ้าเจ้านายของเราเป็นคริสเตียนเราต้องยิ่งให้ความเคารพให้มากด้วย (1ทธ.6:2) เราต้องมีท่าทีที่ถูกต้องต่อหัวหน้างานของเรา
2. บทบาทของนายจ้าต่อลูกจ้าง (คส.4:1)
เราทราบดีแล้วว่าพระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าที่มีความสมดุลย์ พระเจ้าสอนให้เราสมดุลย์ในทุกๆ ด้าน ถ้าเราเป็นผู้ปกครองก็ต้องปกครองอย่างเที่ยงธรรม ให้ความเท่าเทียมกัน เสมอภาคกันในการดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา หรือคนที่อยู่ภายใต้การดูแลของเรา เพราะว่าเราก็มีเจ้านายที่อยู่ในสวรรค์คอยดูเราอยู่เช่นกัน (อฟ.6:9) ถึงแม้นายจ้างหรือว่าพ่อแม่จะไม่สามารถทำตามพระคัมภีร์ได้ทุกอย่าง ลูกจ้างหรือว่าลูกๆ ก็ไม่มีสิทธิ์ไม่เชื่อฟัง ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
3. ผลที่เกิดขึ้น (คส.3:24-25)
3.1 ได้รับบำเหน็จ (คส.3:24)
เมื่อเราทำสิ่งที่ถูกต้องไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะไหนเราก็จะได้รับบำเหน็จรางวัลจากพระเจ้าทั้งสิ้น บำเหน็จรางวัลที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้กับเรา เป็นบำเหน็จรางวัลที่จะหาสิ่งใดมาเทียบไม่ได้เลย ถ้าเราทำด้วยท่าทีถูกต้องเราก็ไม่ต้องกลัวการพิสูจน์ (1คร.3:13-15) พระเจ้าผู้ทรงสถิตย์ในสวรรค์จะเป็นผู้พิสูจน์เราเอง (มธ.6:1) จงมีความหวังและมีความชื่นชมยินดี เพราะว่าบำเหน็จของเราจะมีบริบูรณ์ในสวรรค์ (มธ.5:12) เราต้องรักษาท่าทีของเราเอาไว้ให้ดี
3.2 ไม่ถูกลงโทษ (คส.3:25)
เมื่อเราทำสิ่งที่ถูกต้องและมีท่าทีที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิตของเรา ไม่ว่าเราจะเป็นลูกจ้างหรือว่านายจ้าง เราได้ทำบทบาทของเราอย่างถูกต้อง พระพรจะเป็นของเรา เราไม่ต้องถูกลงโทษ การถูกลงโทษเป็นของคนที่ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พระเจ้าจะไม่ปล่อยเอาไว้แน่ เราต้องรายงานตัวต่อพระเจ้าในวันสุดท้ายทุกคน (2คร.5:10) วันนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำจะปรากฎให้เห็น ไม่ว่าเราทำด้วยท่าทีอย่างไร พระเจ้าจะพิพากษาเราตามการกระทำของเรา
ดังนั้นเราจะต้องมีแรงจูงใจที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าเราจะอยู่ที่บ้านหรือว่าที่ทำงาน ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะไหน ไม่ว่าเราจะเป็นพ่อแม่ หรือว่าเป็นลูก ไม่ว่าเราเป็นเจ้านายหรือลูกน้อง เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เพราะว่าพระเจ้าผู้เป็นเจ้านายสูงสุด เป็นผู้ประทานสิทธิอำนาจนั้น และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังผู้มีสิทธิอำนาจนั้น ถ้าเราเชื่อฟังและทำตามด้วยใจยำเกรงและเต็มใจ พระพรก็จะเป็นของเรา เราไม่ต้องถูกลงโทษ (สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ www.churchofpeace2010.org)
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น