สรุปคำเทศนาในวันอาทิตย์ที่ 13
มกราคม 2013
พระธรรม มาระโก 9:33-37
โดยอาจารย์สุรชาติ คงจาย
พระเยซูสอนเรื่อง
“การยอมรับกันและกัน” ผ่านตัวอย่าง “การยอมรับเด็กเล็กๆ” ในพระธรรมมาระโก 9:33-37 ในเหตุการณ์วันนั้น พอพระเยซูกับเหล่าสาวกเดินทางมาถึงเมืองคาเปอรนาอุม
และเข้าไปในเรือน คำถาม? ของพระองค์ถึงกับทำให้สาวกอึ้ง!
และพูดไม่ออก ทั้งๆที่พระองค์ทราบว่า พวกเขาโต้แย้งกันเรื่องอะไรในระหว่างเดินทางมาถึงเมืองคาเปอรนาอุม
ที่พระองค์ถาม...ไม่ใช่พระองค์ไม่รู้ พระองค์รู้และทราบทุกอย่าง
แต่ทำไมพวกสาวกไม่สามารถตอบคำถามง่ายๆ ที่พระองค์ถามได้? ทั้งๆที่พระองค์พร่ำสอนพวกเขามาโดยตลอด
แต่พวกเขาไม่เข้าใจ และเกรงใจที่จะถาม จึงทำให้พวกเขามีความคิดแบบเดิมๆของตนเอง
และเข้าใจผิดและยึดติดความคิดที่ไม่ถูกต้องได้ พระเยซูจึงเรียกสาวกสิบสองคนมาสอนโดยให้เด็กคนหนึ่งมายืนอยู่ตรงกลางวงสนทนา
ในข้อ 37 “ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็กๆเช่นนี้คนหนึ่งในนามของเราผู้นั้นก็รับเรา”
นี่เป็นประโยคเด็ดของพระเยซูซึ่งเป็นหัวใจหลักในการที่จะทำให้พวกเขาควรยอมรับกันและกัน
โดยไม่ต้องมาคิดว่าใครใหญ่กว่าใคร ที่แม้แต่เด็กตัวเล็กๆ
ถ้าผู้ใดยอมรับยังมีค่าเท่ากับการยอมรับตัวของพระคริสต์เอง
นี่คือคำแนะนำของพระเยซูให้หลักคิดว่าเราจะยอมรับกันและกันได้อย่างไร?
1. ไม่เปรียบเทียบกัน
(ข้อ 34)
เหล่าสาวกได้เถียงกันว่า..คนไหนจะใหญ่กว่ากัน นี่คือ
การเปรียบเทียบโดยวัดระดับว่าใครใหญ่กว่ากัน
การเปรียบเทียบคือ การเทียบเคียงว่า สิ่งใดเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร ถ้าต่างกัน
มีอะไรดีกว่าอะไร สิ่งใดดีกว่าสิ่งใด หรือใครดีกว่าใคร ดังนั้นการเปรียบเทียบเป็นกระบวนการนำไปสู่การเลือกตัดสินใจว่าจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ
เลือกที่จะเก็บรักษาหรือโยนทิ้ง จึงอาจนำไปสู่การไม่ยอมรับได้ที่สุด ดังนั้น
หากต้องการให้เกิดการยอมรับกันและกันขึ้นในความสัมพันธ์ใดๆก็ตาม จึงต้องระมัดระวังที่จะเปรียบเทียบ
พระเยซูเตือนไว้ในเรื่อง ”ผงในตา” กับ ”ไม้ทั้งท่อน” (มธ.7:3-5) และเปาโลได้เตือนผู้เชื่อที่เมืองโครินธ์เรื่องการเปรียบเทียบกันว่าการเอาตัวเองเป็นเครื่องวัดกันเท่ากับเป็นคนขาดความเข้าใจ
( 2คร.10:12) ถ้าอยากมองให้แม่นยำ ไม่ผิดพลาด เราจึงต้องมองผ่านแว่นตาของพระเจ้าซึ่งไม่เหมือนมองผ่านแว่นตาของมนุษย์
(1ซมอ.16:7) ซึ่งเป็นมาตรฐานของพระวจนะพระเจ้าปลอดภัยที่สุด หากจะเปรียบเทียบ
ต้องรู้ว่าเราเป็นใครในพระเจ้า ซึ่งแต่ละคนกำลังวิ่งอยู่ในลู่ที่พระเจ้ากำหนดให้ (ฮบ.12:1) ขณะที่วิ่งอยู่ในลู่ของตน ก็คอยให้กำลังใจคนข้างๆ ได้ แต่ไม่ควรเปรียบเทียบว่าใครวิ่งด้วยแรงที่ดีกว่ากัน
ใครไปเร็ว ใครไปช้า
2. การถ่อมใจ (ข้อ 35)
พระเยซูกล่าวว่า “อยากเป็นใหญ่
อยากเป็นคนแถวหน้าหรือ? ให้เป็นคนสุดท้ายและและปรนนิบัติรับใช้คนทั้งปวง
ซึ่งเป็นคำตรัสที่ทำให้สาวกฟังแล้วงงงวย ดูเหมือนไม่เป็นเหตุเป็นผล
หากอยากเป็นคนต้นก็ต้องเป็นบุคคลแถวหน้าไม่ใช่หรือ แต่ทำไมพระเยซูบอกว่า..อยากเป็นคนต้นให้เป็นคนสุดท้าย
พระเจ้ามองไม่เหมือนมนุษย์มอง เช่นตัวอย่าง ดาวิด (1 ซมอ.16:1-12
) ซามูเอลมองเห็นพี่ชาย น่าจะเป็นกษัตริย์แทนกษัตริย์ซาอูล แต่พระเจ้าบอกว่าไม่ใช่
ยังมีอีกคนที่กำลังเลี้ยงแกะในทุ่งนาก็คือดาวิด หลักเหตุผลของพระเยซูคือ
อยากเป็นคนต้นให้เป็นคนท้ายและเป็นคนปรนนิบัติรับใช้คนทั้งปวง นั่นคือ
การมีความถ่อมใจ ความถ่อมใจจึงทำให้เรายินดีปรนนิบัติรับใช้ ไม่เลือกปฏิบัติ
การได้รับการยอมรับ ไม่ได้มาจาก การพยายามยกตนเองขึ้น เพื่อทำให้คนยอมรับ แต่มาจาก
การถ่อมใจและพระเจ้าเป็นผู้ยกขึ้น (มธ.23:12) นี่คือ กฎของสวรรค์ ผู้ใดยกตัวขึ้น จะถูกเหยียดลง
และผู้ใดถ่อมตัวลง จะได้รับการยกขึ้น
3. การยอมรับกันในนามของพระคริสต์
(ข้อ 36 – 37)
พระเยซูกำลังบอกสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของการยอมรับกันและกันนั้นต้องเกิดจากการยอมรับกันในนามของพระองค์
สาเหตุที่พระเยซูเปรียบเทียบการยอมรับกันและกัน กับการยอมรับเด็กเล็กๆ
ซึ่งสาวกไม่ให้ความสำคัญ และพยายามกีดกันเด็กที่จะเข้ามาหาพระองค์ (มธ.19:13) สิ่งใดที่เราได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้
ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่พระเยซูด้วย นี่คือความจริงที่พระวจนะในตอนนี้
ได้เปิดเผยให้เราเรียนรู้ และเมื่อรู้เช่นนี้แล้ว
ให้เราเปิดใจยอมรับทุกคนโดยไม่เปรียบเทียบกัน
มีความถ่อมใจ (ถือว่าผู้อื่นดีกว่าตน)
และยอมรับทุกคนในนามของพระคริสต์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น