สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม 2012
พระธรรม มัทธิว 12:46-50
เหตุการณ์ตอนนี้เป็นเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ที่พูดกับคนหนึ่งที่มาบอกพระเยซูว่า
“มารดาและน้องๆ ของพระองค์มาหา” และพระเยซูได้บอกกับคนนั้นที่มาบอกว่า “ใครคือมารดาและพี่น้องของพระองค์”
ซึ่งเมื่อเราฟังแล้วเราอาจจะรู้สึกไม่สบายใจหรือสงสัยว่าทำไมพระองค์ถึงได้กล่าวเช่นนั้น
พระองค์ไม่ยอมรับมารดาและน้องๆ ของพระองค์หรือ หรือว่าพระองค์อายคนอื่น
หรือว่าพระองค์ต้องการจะปิดบังความจริง เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ไปเรื่อยๆ
เราจะพบว่าพระองค์ตรัสเช่นนี้เพราะพระองค์ต้องการที่จะสอนความจริงเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวให้สาวกและเราทั้งหลายเข้าใจ
เพราะว่าครอบครัวของเรานั้นไม่ได้มีเฉพาะพ่อแม่พี่น้องในฝ่ายกายภาพเท่านั้น
เรายังมีพี่น้องในฝ่ายวิญญาณด้วย
พระองค์ได้สอนเราทั้งหลายให้มีความสมดุลย์แม้ว่าครอบครัวฝ่ายธรรมชาติจะมีความสำคัญก็จริงแต่ครอบครัวฝ่ายวิญญาณก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน
พระองค์จึงได้ใช้เหตุการณ์ตอนนี้สอนพวกสาวกของพระองค์เวลานั้นและสอนเราในเวลานี้เสียเลย
ซึ่งเราเห็นสิ่งที่พระเยซูทำเป็นการสอนเราด้วยตัวอย่างที่ชัดเจน ดังนี้
1.ครอบครัวฝ่ายกายภาพ
(มธ.12:46-47)
พระเยซูมีแม่คือนางมารีย์
ซึ่งเป็นหญิงที่พระเจ้าทรงโปรดปราน และนางมารีย์ก็เป็นแม่ที่รักลูกและดูแลเอาใจใส่เช่นเดียวกับแม่ทั่วไป
และนางมารีย์ก็ยังมีลูกชายอีกหลายคน คือ ยากอบ โยเซฟ ซีโมน ยูดาหรือยูดาส
และยังมีน้องสาวอีกด้วย และน้องๆ ของพระองค์ก็ไม่ได้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า และยังเคยท้าทายให้พระเยซูสำแดงพระองค์เองในที่ต่างๆ
อีกด้วย (ยน.7:3-5)
ไม่เพียงแต่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า พวกน้องๆ
ของพระองค์ยังคิดว่าพระองค์เป็นบ้าอีกต่างหาก (มก.3:20-21)
แต่พระองค์ทรงรู้ว่าพระองค์กำลังทำสิ่งใดอยู่ พระองค์ทรงอดทนต่อพวกเขาอย่างมาก
และหลังจากที่พระองค์ทรงฟื้นขึ้นจากความตายแล้ว
พระองค์ก็ทรงปรากฎตัวกับยากอบน้องชายของพระองค์ (1คร.15:7) ในที่สุดนางมารีย์และน้องๆ
ของพระองค์ก็เชื่อวางใจในพระองค์และเป็นผู้เชื่อที่เข้มแข็งด้วย (กจ.1:14) แม้ว่าขณะที่พระเยซูมีชีวิตอยู่ในโลกไม่นานและไม่ค่อยได้ทำหน้าที่ของความเป็นลูกต่อนางมารีย์มากนักเพราะบทบาทความเป็นพระเจ้าของพระองค์
แต่ก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์ที่กางเขน
พระองค์ได้ฝากแม่ของพระองค์ไว้กับสาวกคนสนิทของพระองค์ (ยน.19:26-27) การเลี้ยงดูเอาใจใส่พ่อแม่และญาติพี่น้องเป็นสิ่งที่ถูกต้อง (1ทธ.5:8)
เราจะต้องทำหน้าที่ของเราอย่างดีที่สุดสุดกำลังความสามารถของเรา
ไม่ใช่เฉพาะฝ่ายร่างกายเท่านั้นเราควรดูแลในเรื่องฝ่ายวิญญาณและจิตใจด้วย
เราไม่ควรทำให้พ่อแม่ของเราเสียใจ
เราควรที่จะให้เกียรติพ่อแม่แม้ว่าท่านอาจจะไม่ได้เรียนหนังสือสูงเท่าเรา
หรือประสบความสำเร็จเท่าเรา หรือว่า ร่ำรวยเท่าเรา
แม้ว่าท่านอาจจะทำผิดพลาดบางสิ่งบางอย่าง เราก็ยังต้องให้เกียรติท่านด้วย
2.
ครอบครัวฝ่ายวิญญาณ (มธ.12:48-50)
พระเยซูชี้มือไปที่คนต่างๆ
ที่นั่งอยุ่ในบริเวณนั้นและบอกกับคนที่มาแจ้งกับพระองค์ว่า คนที่ทำตามน้ำพระทัยของพระบิดาที่สถิตในสวรรค์นั่นแหละคือพี่น้องชายหญิงและมารดาของพระองค์
นั่นแสดงว่าพระเยซูเห็นความสำคัญของครอบครัวฝ่ายวิญญาณด้วยเช่นกัน
และดูเหมือนว่าพระองค์ให้ความสำคัญกับครอบครัวฝ่ายวิญญาณมากกว่าครอบครัวฝ่ายกายภาพเสียอีก
พระองค์ไม่ได้ออกมาตอนรับนางมารีย์และน้องๆ ของพระองค์
แต่ยังบอกว่าคนที่นั่งอยู่แถวนั้นคือพี่น้องของพระองค์ (ลก.8:21)
ซึ่งคำพูดและการกระทำดังกล่าวเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า
พระองค์เห็นความสำคัญของครอบครัวฝ่ายวิญญาณ เพราะอะไรพระองค์จึงเห็นความสำคัญของครอบครัวฝ่ายวิญญาณ
อาจจะเป็นเพราะว่า ครอบครัวฝ่ายวิญญาณจะเป็นครอบครัวที่มีความสัมพันธ์กันตลอดไปแม้ว่าเราจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม
เรายังจะเป็นพี่น้องกันต่อไป และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้คิดได้ว่าพระองค์เห็นความสำคัญของครอบครัวฝ่ายวิญญาณ
เพราะว่าพระองค์ได้ทรงไถ่เขาออกมาจากความบาปด้วยพระวรกายและพระโลหิตของพระองค์
พระองค์แลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิตของพระองค์
พระองค์ต้องการให้เราทุกคนได้ไปอยู่กับพระองค์ที่สวรรค์ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่เรียกพระองค์ว่าพระเจ้าจะได้เข้าแผ่นดินสวรรค์
(มธ.7:21-23) ให้เราดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
เชื่อฟังพระองค์ อย่าทำตามใจตัวเอง
เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ช่วยทำให้เราพ้นจากการพิพากษาลงโทษไปได้ สิ่งเดี่ยวที่จะทำให้เราได้อยู่ด้วยกันตลอดไป
คือ เราต้องประกาศให้กับคนที่เรารัก ครอบครัวของเรา
ให้เขาเชื่อวางใจในพระเยซูเพื่อรับความรอด และเราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป
เราต้องให้ความสำคัญกับครอบครัวของเราโดยการประกาศให้พวกเขากลับใจใหม่
เราต้องทำหน้าที่ของเราอย่างดีเลิศ เราต้องมีความสมดุลย์
ไม่ตกขอบไปทางด้านหนึ่งด้านใด
เพราะเรามีทั้งครอบครัวฝ่ายกายภาพและครอบครัวฝ่ายวิญญาณ
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น