21 กุมภาพันธ์ 2555

2 ปีที่ผ่านมาด้วยพระคุณและความรัก

ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงนำคริสตจักรแห่งนี้มาด้วยพระคุณและความรักจนถึงวันนี้ก็มีอายุครบ 2 ปีบริบูรณ์ และเราเชื่อว่า พระองค์จะทรงนำเราต่อไปอีกด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ พระองค์จะทรงอยู่เคียงข้างเรา และพร้อมที่จะอวยพรเราทุกคนให้เติบโตไปด้วยกัน ทั้งร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ ปีนี้จะเป็นปีแห่งการอวยพรของพระเจ้าที่จะมาถึงคริสตจักรของเรา จะเป็นปีแห่งความชื่นชมยินดี จะเป็นปีแห่งการ “เติบโตไปด้วยกัน” (GROW TOGETHER)

ฝากพี่น้องอธิษฐานเผื่อคริสตจักรแห่งสันติภาพ ให้เป็นคริสตจักรที่พระเจ้าใช้ให้นำพระคุณความรักของพระองค์ไปสู่คนมากมาย ให้เป็นคริสตจักรที่สามารถเป็นพรกับคนทั้งหลายทั้งปวง ให้มีสถานที่ที่สามารถใช้ได้ทุกวัน ให้คริสตจักรเป็นศูนย์กลางแห่งพระพรที่ใครๆได้เข้ามาแล้วจะสัมผัสถึงการอวยพรของพระเจ้าได้

ขอขอบคุณและขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องที่อธิษฐานเผื่อคริสตจักรแห่งนี้และมีส่วนสนับสนุนคริสตจักรมาโดยตลอด ขอให้พระพรไหลกลับไปสู่ทุกท่านครับ

เติบโตไปด้วยกัน

สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2012

พระธรรม เอเฟซัส 4:16
พระธรรมตอนนี้เป็นเรื่องที่ต่อเนื่องมาจากเรื่องราวของของประทาน 5 อย่าง ที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงประทานให้กับคริสตจักร เพื่อเป็นการเตรียมธรรมิกชนให้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ในพระเยซูคริสต์ เพื่อไม่ให้ถูกซัดไปซัดมา หรือหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนอันไม่มีหลัก พระเจ้าต้องการเห็นคริสตจักรของพระองค์เติบโตขึ้น ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ พระองค์จึงได้ให้ของประทานกับคริสตจักรเอาไว้ การเจริญเติบโตของคริสตชนและคริสตจักรถือว่าเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า พระคัมภีร์ตอนนี้ได้ชี้ให้เห็นหลักการที่สำคัญที่จะทำให้คริสตจักรของพระเจ้าจะเติบโตขึ้นได้อย่างมั่นคงเอาไว้ 4 ประการคือ คริสตจักรที่
1. มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง (อฟ.4:16)
คริสตจักรของพระเจ้าจะเติบโตได้อย่างมั่นคง จะต้องเป็นคริสตจักรที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง นั่นหมายความว่าคริสตจักรจะต้องให้พระเจ้าเข้ามาเป็นเอกเป็นหนึ่งในคริสตจักร ซึ่งแสดงออกมาที่สมาชิกทุกคนยอมให้พระเจ้าเข้ามาเป็นเอกเป็นหนึ่งในชีวิต พระเจ้าต้องเป็นศูนย์กลางไม่ใช่ผู้นำหรือใครคนใดคนหนึ่ง คริสตจักรต้องยอมให้พระเจ้าเข้ามาครอบครอง คริสตจักรของพระเจ้าต้องทำตามแผนการของพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้า ทูลวิงวอนต่อพระเจ้า (ลก.10:2) อย่างทำตามความคิดของเราเองแต่พึ่งพาพระเจ้าและให้พระเจ้าทรงนำหน้าเสมอ
2. มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (อฟ.4:16)
พระคัมภีร์ตอนนี้บอกว่า ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิท จึงเป็นร่างกายที่มีชีวิตอยู่ได้อย่างสมบูรณ์ ที่ไหนมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่นั่นจะเห็นพระพรของพระเจ้า พระองค์จะทรงบังคับบัญชาพระพรของพระองค์ลงมา (สดด.133:1-2) ไม่ว่าจะเป็นในคริสตจักร หรือในบ้าน หรือในที่ทำงาน หรือในชุมชน ที่ไหนมีความแตกแยกที่นั่นมีแต่ความล้มเหลว (มก.3:23-26) ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่เพียงแต่จะทำให้พระพรของพระเจ้าลงมา ยังมีพลังอันยิ่งใหญ่ที่สามารถจะทำสิ่งใดๆก็ได้ (ปฐก.11:1-6) คนจะเติบโตขึ้น คริสตจักรจะเติบโตขึ้นทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ เมื่อคริสตจักรมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
3. มีความรักความผูกพัน (อฟ.4:16)
พระคัมภีร์กล่าวต่อไปอีกว่า ประสานกันทุกข้อต่อที่ทรงประทาน ร่างกายไม่ได้เอาอวัยวะต่างๆมาผูกติดกันไว้เท่านั้น แต่ต้องเชื่อมต่อกันด้วยความรัก คริสตจักรไม่ใช่สมาคมหรือสโมสร แต่มีลักษณะเป็นครอบครัวที่มีความรักความผูกพันกัน มีความรับผิดชอบต่อกัน ห่วงใยกัน สนใจกัน เอาใจใส่กัน คริสตจักรของพระเจ้าจึงจะเติบโตได้อย่างยั่งยืน ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงความรักความผูกพันที่มีต่อกันในพระเจ้า จน อ.เปาโลบอกว่าไม่มีอะไรมาแยกความรักที่เรามีอยู่ในพระเจ้าได้ (รม.8:39) อ.เปาโลเตือนว่าอย่าให้เราเป็นหนี้อะไรใครนอกจากความรัก (รม.13:8) คริสตจักรจะต้องรักและผูกพันกัน
4. รับใช้ตามของพระทาน (อฟ.4:16)
พระคัมภีร์บอกเราในตอนสุดท้ายว่า เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว นั่นหมายความว่า เมื่อเราทุกคนทำหน้าที่ของเราตามของประทานที่พระเจ้าให้อย่างเหมาะสมหรืออย่างสมควรแล้ว เมื่อนั้นคริสตจักรก็จะเติบโตขึ้น เราต้องสำรวจตัวเราเองว่า เราได้รับใช้พระเจ้าตามของประทานที่พระเจ้าให้แล้วหรือยัง เราได้ทำหน้าที่ของเราอย่างดีที่สุดแล้วหรือยัง เมื่อเจ้านายกลับมาจะเรียกบ่าวของตนไปถาม (มธ.25:14-17) คนไหนที่สัตย์ซื่อก็จะได้รับรางวัล แต่ถ้าหากคนไหนเอาไปฝังดินไว้ ก็จะโดนลงโทษ (มธ.25:24-26) ให้เราทุกคนรับใช้อย่างเต็มกำลังความสามารถตามของประทานที่พระเจ้าให้กับเรา อย่ามัวแต่มองดูคนอื่น อย่ามัวแต่รอเวลา แต่จงเริ่มตั้งแต่เวลานี้ เพื่อคริสตจักรของพระเจ้าจะเติบโตขึ้นเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า (สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.churchofpeace2010.org)

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

16 กุมภาพันธ์ 2555

ความรักสี่แบบ

            หลาย ๆ คนคงสงสัยว่าทำไมวันวาเลนไทน์ จึงตรงกับวันที่ 14 เดือนกุมภาพันธ์ เพราะว่าวันนั้นเป็นวันเสียชีวิตของเซนต์วาเลนไทน์ (นักบุญแห่งความรัก) เซนต์วาเลนไทน์ เป็นผู้ริเริ่มการจัดงานแต่งงานในยุคที่ไม่นิยมให้แต่งงานกัน เหตุเพราะในช่วงนั้น อาณาจักรโรมันต้องประสบกับสงคราม จักรพรรดิคลอดิอุสที่สองต้องการเกณฑ์คนไปรบ แต่มีบุคคลจำนวนมากที่มีครอบครัว มีภรรยา มีคนรัก ต่างไม่อยากจะทิ้งครอบครัวไป ทำให้จักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ตัดสินใจให้ยกเลิกการแต่งงานและการหมั้นทั้งหมดของชาวโรมันในยุคนั้นไปหมดอย่างสิ้นเชิง
            แต่เซนต์วาเลนไทน์กลับสวนกระแสของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ชักชวนคู่รักมาแต่งงานหลายต่อหลายคู่จนโดนจับตัวไปขังเอาไว้ และในคุกนั้นเอง เซนต์วาเลนไทน์ได้พบรักกับสาวตาบอดนางหนึ่ง เมื่อโดนจับได้เซนต์วาเลนไทน์จึงถูกประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ทำให้กลายมาเป็นแห่งความรักหรือวันวาเลนไทน์ วันที่ผู้คนจะรำลึกถึงนักบุญผู้อุทิศตนให้ความรักนั่นเอง
นั่นเป็นความรักของคนๆ หนึ่ง บทเรียนวันนี้เราจะมาพิจารณาความรักในมุมมองของพระคัมภีร์ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งในพระคัมภีร์ใหม่ปรากฏคำเกี่ยวกับความรักอยู่ถึง 4 คำด้วยกัน ใช้บรรยายความรักที่ชัดเจนลงไปถึง 4 แบบ

1. ฟิลิออส (Philios) หรือ ฟิเลออส (Phileos)
ยอห์น 16:19 "ถ้าท่านทั้งหลายเป็นของโลก โลกก็จะ รัก (ฟิเลโอ-Phileõ) ท่านซึ่งเป็นของโลก แต่เพราะท่านไม่ใช่ของโลก เพราะเราได้เลือกท่านออกจากโลก เหตุฉะนั้น โลกจึงเกลียดชังท่าน"
เป็นความรักอย่างแรกของความรักสี่แบบที่กรีกค้นพบและได้ตั้งชื่อไว้ ฟีลิออสเป็นรักง่ายๆ เป็นความรัก ระหว่างเพื่อน เป็นมิตรภาพที่เพื่อนมีต่อเพื่อน เป็นรากฐานของความจำเป็นในสังคมของมนุษย์ โดยนิสัยพื้นฐานมนุษย์ต้องการความรักและการยอมรับ พระเจ้าได้สร้างสัตว์กลุ่มต่างๆ และเราก็ต้องมีสังคมเพื่อจะดำรงอยู่ได้ เพราะมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างให้อยู่คนเดียว พระเจ้าตรัสว่า (ปฐมกาล 2:18-20" ไม่ควรที่ชายผู้นี้จะอยู่คนเดียว เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ ที่สมกับเขาขึ้น" พระเจ้าจึงทรงปั้นบรรดาสัตว์ ในท้องทุ่ง และนกในท้องฟ้า ให้เกิดขึ้นจากดิน แล้วทรงนำมายังชายนั้น เพื่อดูว่าเขาจะเรียกชื่อมันว่าอะไร...แต่ชายนั้น ยังหามีคู่อุปถัมป์ที่สมกับตนไม่)
 ครอบครัวจึงเป็นสังคมแรก และมนุษย์ต้องอยู่อาศัยด้วยกัน เพื่อมีชีวิตรอด เป็นการเอื้อเฟื้อให้แก่กันโดยพื้นฐาน ฟิเลออส จึงเป็นรักชนิดหนึ่งที่พูดได้ว่า "ฉันต้องการเธอ ฉันจะเป็นเพื่อนกับเธอ เธอต้องการฉัน เธอก็จะเป็นเพื่อนกับฉัน" แต่โดยธรรมชาติของมนุษย์ ชีวิตไม่ยืนยาว ทุกคนต้องตาย ความรักแบบฟีเลออส จึงเป็นรักที่เห็นแก่ตัว เช่น "ฉันชอบเธอ ถ้าเธอชอบฉัน" ฟิเลออสไม่ค่อยให้อะไรใครเพื่อความรัก แต่เป็นมิตรภาพที่ลึกซึ้ง ย่อมพัฒนาเป็นรักที่ลึกซึ้งต่อไปได้ ถ้าเกิดอันตรายขึ้นกับใครซักคนที่ตนรัก ฟิเลออสมักจะ "มีผลอะไรกับฉันบ้าง" รักแบบนี้จึงเอาตัวเองเป็นหลัก ให้และตอบแทนกัน เมื่อมีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง แม้จะเป็นรักแบบเพื่อน แต่ก็ไม่สามารถตายแทนกันได้ 

2. สตอรเก้ (Storge)
เป็นความรักแบบญาติพี่น้อง เกิดขึ้นในคนทุกคน สตอรเก้ เป็นรักที่พัฒนาขึ้นมาอีกระดับ ชีวิตของคนเราจะมีความเกี่ยวพันกันในการเลี้ยงดู พ่อแม่เลี้ยงดูลูกที่เกิดมา ในสัตว์ประเภทเดียวกัน เกิดมาก็รวมกลุ่มกันเพื่อความอยู่รอด คือ รักกันตามสัญชาตญาณ ไม่ต้องบอกผู้เป็นแม่ ว่าให้ปกป้องลูกน้อย เพราะมันเป็นไปโดยอัตโนมัติ แม่รักลูกตัวเอง ได้อย่างง่ายดาย เพราะนั่นเป็นลูกของแม่ แต่ความรักแบบ สตอรเก้ก็ยังเป็นความรักที่เห็นแก่ตัว เพราะมีเรื่องเงื่อนไข ผลตอบแทนทางอารมณ์ มาเกี่ยวข้อง การแสดงออกแบบ สตอรเก้ พ่อแม่เรียนรู้ความรักแบบนี้ได้ พอเด็กโต เด็กก็จะ เรียนรู้ความรักนี้โดยอัตโนมัติ
ความรักในแบบฟิเลออสจะเป็นในลักษณะที่ว่า ฉันจะรักคุณ ถ้า..... แต่ในแบบ สตอรเก้ คือ ฉันจะรักคุณ เพราะฉันควรรักคุณ อย่างเมื่อเด็กโตขึ้นมา มีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ระหว่างเครือญาติ ความรักแบบสตอรเก้ยังเป็นรักแบบมีเงื่อนไข หวังการตอบแทน จึงยังเป็นความรักแบบมนุษย์ เรายังคงรักกันอย่างที่เราเป็น หรืออย่างที่ทุกคนเป็น 

3. อีรอส (Eros)
อีรอส เป็นความรักที่ต้องการให้ได้มาบนพื้นฐานความเห็นแก่ตัว เป็นรักที่ไม่ถาวร เป็นความรักที่เกี่ยวข้องกับความใคร่ เกี่ยวพันกับเรื่องทางเพศ อีรอส เป็นความรัก ที่ตอบสนองความงามของวัตถุ และการใช้อีรอสในทางที่ผิดจะนำไปสู่ความเสื่อม (ปฐมกาล 1:27 "พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้น ตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน")
พระเจ้าสร้างผู้ชายและผู้หญิงเพื่อมีเสน่ห์ต่อกันและกัน พระเจ้าตั้งใจให้ผู้ชาย และผู้หญิงรวมกัน เป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้กำเนิดลูกหลานบนแผ่นดิน ในสวนเอเดน พระเจ้าได้ให้อำนาจมนุษย์ในการควบคุม ความรักแบบอีรอส มีอารมณ์ดึงดูดทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ชายและหญิงประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน (One Body) อีรอส จึงเป็นความรักของมนุษย์ที่ไม่ใช่ "ความต้องการ" ของพระเจ้า
อีรอส คล้ายๆ กับ ฟิเลออส คือมีตัวเองเป็นใหญ่ และเหมือนสตอรเก้ ที่ต้องการสิ่งตอบแทน จริงๆ แล้ว ความรักแบบอีรอส ก็เป็นกิเลสตัณหาฝ่ายเนื้อหนัง แต่อีรอสก็เป็นมากกว่าความต้องการทางกายอย่างเดียว มันเป็นเรื่องจิตใจด้วย มันได้รับการออกแบบจากผู้สร้าง ที่จะทำให้เราสังเกตุกันและกัน เพื่อจะตกหลุมรัก ก้าวไปสู่ความรักที่แท้จริง ที่ไม่ใช่แค่ตัณหา แต่เป็นความรักที่งดงาม คบกันและแต่งงานกัน ซึ่งความรักแบบมนุษย์ทั้ง 3 ประเภทนี้ ไม่ต้องให้พระเจ้าเข้ามาช่วยเหลือให้เกิดขึ้น 

4. อากาเป้ (Agape) หรือบางคนออกเสียงว่า อกาเป้
ยอห์น 3:16 "เพราะว่าพระเจ้าทรง รัก (อากาเป้) โลก จึงได้ประทาน พระบุตรองค์เดียว ของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจ ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์"
อากาเป้เป็นรักในระดับสูงสุด รักที่ให้แก่กัน ไม่คิดถึงตัวเอง และสละได้ทุกสิ่งเพื่อคนที่รัก ไม่มีเปลี่ยนแปลง และให้ได้เสมอ แม้เป็นศัตรู ความรักแบบอากาเป้จึงไม่ได้หมายถึง รักในชื่อเสียง รักในเงินทอง หรือรักในอะไรก็ตาม ที่คนเรายอมตายถวายชีวิตให้ การที่พระเยซูคริสต์ยอมตาย เพื่อคนอื่นจึงเรียกได้ว่า เป็นความรักแบบอากาเป้ จนกระทั่งมีคำพูดเขียนไว้ว่า “ความรักของพระเจ้าไม่ใช่แบบอีรอสหรือสตอรเกิหรือฟิเลออสแต่เป็นความรักแบบอากาเป้” (Not that God is Eros or Stroge or Philia but  Agape) อากาเป้เป็นความรัก แบบไม่มีเงื่อนไข ในบรรดาความรักทั้งหมด อากาเป้อาจเรียกได้ว่าดีที่สุด เพราะความรัก สามแบบแรกล้วนแต่เกิดขึ้นในใจคนเราได้ โดยไม่ต้องพยายาม เราย่อมจะรักพ่อแม่ของเรา รักเพื่อนเพราะเขาดีกับเรา แต่อากาเป้ เป็นความรักชนิดเดียว ที่มนุษย์จะต้องสร้างไว้ในใจตัวเองได้ เพราะเป็นความรักที่ต้องมีให้แม้แต่คนที่เกลียดชังเรา

สรุป ความรักทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานความรักของพระเจ้า เพราะพระเจ้าเป็นความรัก บริสุทธิ์ สมบูรณ์แบบ แต่รักทุกแบบ ไม่ต้องให้พระเจ้าช่วย เว้นแต่อากาเป้ เป็นรักที่ต้องให้พระเจ้าเข้ามาช่วยสร้าง เป็นรักในแบบที่พระเจ้าต้องการ (นิยามความรัก) 

พระคัมภีร์สำหรับท่องจำ :  เยเรมีห์ 31:3 “เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ เพราะฉะนั้นเราจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป”

รักต้นฉบับ


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2012

พระธรรม 1คร.13:4-7
ความรักคืออะไร และความรักมาจากไหน หลายคนไม่รู้เลยหรืออาจจะยังไม่เคยคิดเลยว่าความรักคืออะไรและความรักมาจากไหน รู้อยู่อย่างเดียวว่า ฉันต้องการความรัก มีพระคัมภีร์ตอนหนึ่งบอกว่า พระเจ้าทรงประทานความรักแก่เราทั้งหลาย (1ยน.3:1) พระเจ้าประทานความรักให้กับเรา ทำให้เราทั้งหลายจึงรู้จักความรัก (1ยน.3:16) ว่ามาจากไหน พระเจ้าทรงเป็นแหล่งแห่งความรัก (1ยน.4:7) ทำให้ความรักของเรานั้นสมบูรณ์ (1ยน.4:17) แต่ความรักที่เราแสดงออกมาบิดเบี้ยวก็เพราะว่าเราเป็นคนบาป ความรักของเราจึงไม่สมบูรณ์ แต่ความรักของพระเจ้านั้นไม่มีที่ติ พระองค์ทรงเป็นต้นฉบับหรือแบบฉบับแห่งความรัก ซึ่งเราสามารถเห็นได้จากพระธรรมตอนนี้ 6 ประการ คือ
1. อดทนนาน (1คร.13:4,7)
ความรักแบบพระเจ้าต้องอดทนได้แม้ความผิดของคนอื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยากของคนบาป ที่จะอดทนต่อความผิดของคนอื่น แต่พระเจ้าสอนเราให้มีความอดทน พระองค์ทรงอดทนกับการทำผิดพลาดของเรามาอย่างยาวนาน ไม่เพียงมีความอดทนแต่พระวจนะของพระเจ้ายังบอกต่อไปอีกว่าให้เรากระทำสิ่งที่ดีให้กับคนที่ทำผิดกับเราอีกด้วย  ซึ่งยิ่งยากขึ้นไปอีก พระองค์ทรงอดทนกับความผิดของเรา อดทนต่อการกบฎของเรา พระเจ้าต้องอดทนกับเรา กว่าที่จะได้เรากลับมาหาพระองค์ รักต้นฉบับ ต้องอดทนนาน
2. เชื่อในส่วนดี (1คร.13:7)
ไม่เพียงแต่มีความอดทน ยังต้องเชื่อในส่วนดีของคนอื่นอีกด้วย การเชื่อในส่วนดีของคนอื่นไม่ใช่บางครั้งบางคราว แต่พระเจ้าให้เราเชื่อในส่วนดีของคนอื่นอยู่เสมอ ความรักแท้ต้องมองหาสิ่งที่ดีที่มีอยู่ในชีวิตของคนอื่น แน่นอนที่สุดไม่มีใครไม่เคยทำผิด เราต่างก็มีของบกพร่อง แต่ก็ไม่มีใครที่ไม่มีส่วนที่ดีเลย ความจริงแล้วเราทุกคนต่างก็มีสิ่งดีมากมายในชีวิต แต่เรามักมองไม่เห็นสิ่งที่ดีเหล่านั้น เพราะตาของเราถูกฉาบด้วยความบาป เหมือนเราใส่แว่นสีดำ รักแท้ต้นฉบับต้องเชื่อในส่วนดีอยู่เสมอ
3. มีความหวังอยู่เสมอ (1คร.13:7)
รักแท้ต้นฉบับ จะมีความหวังใจอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร จะมีความหวังใจอยู่เสมอ จะไม่หมดหวังง่ายๆ จะไม่ท้อใจง่ายๆ ไม่เพียงเท่านั้นยังจะคอยช่วยทำให้คนอื่นเกิดความหวังอีกด้วย รักแท้เป็นความรักที่ก่อให้เกิดความหวัง ก่อให้เกิดกำลังใจ รักแท้เป็นความรักที่มีความหวังว่าจะเห็นสิ่งดีๆเกิดขึ้นในคนที่เขารัก มีความหวังที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในวันหนึ่ง นี่คือความรักแท้ที่เป็นความรักต้นฉบับ คือมีความหวังอยู่เสมอ
4. ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง (1คร.13:4)
รักแท้ต้นฉบับ เป็นความรักที่อัศจรรย์ คือเป็นความรักที่ไม่มีความอิจฉาริษยา ไม่อวดอ้างตัวเอง ไม่มีความหยิ่งยะโส เป็นความรักที่ดีใจเมื่อเห็นคนที่อื่นประสบความสำเร็จ หรือได้รับสิ่งที่ดี เป็นความรักที่ให้เกียรติคนอื่น มองเห็นคนอื่นดีกว่าตัวเอง เป็นความรักที่ถ่อมใจ พร้อมที่จะรับฟังคำแนะนำจากคนอื่น ยินดีเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ ความรักแบบนี้ ไม่ยกตนเองเหนือคนอื่น ไม่อวดดี นี่คือ ความรักแท้ต้นฉบับ
5. ไม่หยายคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ใช้อารมณ์ (1คร.13:5)
รักแท้ต้นฉบับ เป็นความรักที่มีความสุภาพอ่อนน้อม ไม่เห็นแก่ตัวเองแต่เห็นแก่คนอื่น ไม่ใช้อารมณ์ หรือไม่เป็นคนเจ้าอารมณ์ เป็นความรักที่พูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผล เป็นความรักที่ยอมฟังกันละกัน ให้เกียรติแก่กันและกัน เป็นความรักที่มีความหวานชื่นอยู่เสมอ ใครเห็นแล้วต้องอมยิ้มและมีความสุขร่วมไปด้วยเสมอ รักแท้ต้นฉบับ เป็นความรักที่พร้อมจะสนับสนุนให้คนทำในสิ่งที่ดีที่สุด
6. ไม่จดจำความผิด ไม่ยินดีเมื่อทำผิด (1คร.13:5-6)
รักแท้ต้นฉบับ เป็นความรักที่วิเศษ เพราะไม่จดจำความผิด ไม่ยินดีเมื่อเห็นการกระทำผิด หรือส่งเสริมให้มีการกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่เห็นดีเห็นงามกับการทำสิ่งไม่ถูกต้อง ความรักแท้พร้อมที่จะให้คำแนะนำ ว่ากล่าวตักเตือน และพร้อมที่จะให้อภัยและไม่จดจำความผิดพลาดในอดีต นั่นหมายความว่าเมื่อให้อภัยแล้วก็คือให้อภัยเลย ไม่มานั่งนับว่าทำผิดมากี่ครั้ง ให้อภัยมากี่ครั้ง รักแท้ต้นฉบับยังพร้อมที่จะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับทุกคนด้วย
วันวาเลนไทน์ปีนี้ ขอพระเจ้าประทานความรักของพระองค์ให้กับเราทุกคนอย่างบริบูรณ์ เพื่อเราจะมอบความรักของพระองค์ส่งต่อไปให้คนอีกมากมาย และขอให้ทุกคนประสบกับความรักที่แท้จริงของพระเจ้าตลอดไปครับ  (สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.churchofpeace2010.org)

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

ขอแสดงความยินดีกับครอบครัว "นวลกำแหง"

ที่กำลังจะได้ทำพิธีขึ้นบ้านใหม่และมอบถวายบ้านให้กับพระเจ้า ในค่ำคืนวันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์นี้ ที่โครช พี่น้องท่านใดที่รู้จักกับครอบครัว "นวลกำแหง" สามารถแสดงความยินดีร่วมกับครอบครัวนี้ได้ที่นี่ครับ

ขอพระเจ้าทรงโปรดอำนวยพระพรให้กับทุกคนในครอบครัวนวลกำแหง ให้ได้รับพระพรพิเศษจากพระเจ้า ขอพระองค์ทรงใช้บ้านหลังนี้เพื่อเป็นพระพรต่อพระราชกิจของพระเจ้า ให้เป็นดั่งประภาคาร ส่องแสงนำทางให้กับคนที่อยู่ในความมืดที่จะได้เห็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า ผ่านทางบ้านหลังนี้และทุกคนในครอบครัวนวลกำแหง

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

09 กุมภาพันธ์ 2555

ผ้าใหม่กับถุงหนังเก่า


สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2102

พระธรรม มัทธิว 9:13-17
เหตุการณ์จากพระธรรมตอนนี้ เป็นเรื่องราวของคน 2 กลุ่มที่มาถามพระเยซูเกี่ยวกับเรื่องการถืออดอาหารของพวกศิษย์ของยอห์นและพวกฟาริสี ซึ่งปรากฎในพระธรรม มาระโก 2:18-22 ด้วย พระเยซูจึงได้ถามคำถามกลับไปและกล่าวเป็นคำอุปมากับคนที่ถามคำถามนี้กับพระองค์ ความจริงแล้วการอดอาหารอธิษฐานเป็นสิ่งที่ถูกระบบไว้ในบัญญัติของโมเสส ให้การทำในวันลบมลทินบาป (ลนต.16:29, 31, ศคย.8:19) ในสมัยของพระเยซู พวกฟาริสีก็ถืออดอาหารเป็นประจำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง (ลก.18:12) พระเยซูได้ให้ข้อคิดกับเรา 2 ประการผ่านคำอุปมาเรื่องผ้าใหม่ปะบนเสื้อเก่า และถุงหนังเก่ากับน้ำองุ่นใหม่ ทำให้เรารู้ว่าการที่เรามาเชื่อพระเจ้าและความเชื่อของเราทำให้เรามีเสรีภาพแห่งชีวิตใหม่อย่างแท้จริง
1. อย่าถือกฎอย่างไม่เข้าใจ (มธ.9:14-15)
ศิษย์ของยอห์นสงสัยว่าทำไมพระเยซูจึงไม่ทำตามกฎเกณฑ์ที่บรรพบุรุษได้กระทำกันมาอย่างต่อเนื่องนับหลายชั่วคนแล้ว การถือกฎแต่เพียงรูปแบบภายนอก โดยไม่เข้าใจหลักการเบื้องหลัง ก็เป็นการเสี่ยงที่จะกระทำผิดหรือตัดสินพิพากษาคนที่ดูว่าทำหรือไม่ทำเท่านั้น เบื้องหลังของการอดอาหารในพระคัมภีร์เดิมในสมัยของโมเสสนั้น เพื่อ เป็นสัญลักษณ์หรือเครื่องเตือนใจของคนของพระอิสราเอล (1ซมอ.7:6, อสร.9:5-6, นหม.9:1)  (ผวฉ.20:26, 2ซมอ.1:12)  (ศคย.8:19)  (2ซมอ.12:16-23, สดด.35:13, สดด.109:24)  (ลก.2:36-28) เป็นต้น พระเยซูได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับพิธีแต่งงานว่าขณะที่มีการเฉลิมฉลองจะปล่อยให้แขกหรือเพื่อนๆของเจ้าบ่าวเจ้าสาวอดอยากหรือ และการอดอาหารเป็นเรื่องของความทุกข์โศกเศร้ามิใช่หรือ (มธ.9:15) พระเยซูมาเพื่อช่วยคนให้ได้รับความรอดและไปสวรรค์ เป็นเรื่องที่น่ายินดีมิใช่หรือ (มก.2:23-28)  กฎเป็นสิ่งที่ดีถ้าหากใช้ด้วยความเข้าใจ พระเยซูยังให้บัญญัติใหญ่ไว้ 2 ข้อ คือรักพระเจ้าสุดใจและรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง เมื่อเราเข้าใจกฎแล้วเราก็ทำด้วยความเต็มใจ (1ซมอ.12:24)
2. อย่าถือกฎของชีวิตเก่าในชีวิตใหม่ (มธ.9:16-17)
เสื้อเก่าและถุงหนังเก่า หมายถึง แนวคิดและวิถีชีวิตเดิมของคนยิว ซึ่งเน้นการทำตามพิธีกรรม ธรรมเนียมประเพณี ส่วนผ้าทอใหม่กับน้ำองุ่นหมักใหม่ หมายถึง แนวคิดและวิถีชีวิตใหม่ที่พระเยซูนำมาให้กับเรา ซึ่งเน้นถึงชีวิตฝ่ายวิญญาณ ชีวิตเก่ากับชีวิตใหม่ หรือชีวิตฝ่ายเนื้อหนังกับชีวิตฝ่ายวิญญาณเป็นสิ่งที่เข้ากันไม่ได้ ซึ่งหมายถึงคริสเตียนที่ได้รับชีวิตใหม่จากพระเจ้าแล้ว ไม่อาจดำเนินชีวิตตามกฎแห่งชีวิตเก่าได้อีกต่อไป แต่ต้องดำเนินชีวิตตามวิถีชีวิตฝ่ายวิญญาณแทน เพราะวิถีชีวิตเก่านำไปสู่ความตาย แต่วิถีชีวิตใหม่เต็มไปด้วยความหวังและนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์ (ยรม.31:31-34) พระองค์ทรงถือว่าพันธสัญญาเดิมนั้นพ้นไปแล้ว (ฮบ.8:13) อาจารย์เปาโลได้ถามพี่น้องที่กาลาเทียว่า ท่านได้รับความชอบธรรมเพราะทำตามธรรมบัญญัติหรือ (กท.3:2-3) ชีวิตใหม่ในพระเจ้าเป็นชีวิตแห่งเสรีภาพ เพราะว่าพระเยซูได้จ่ายราคาเพื่อเรา  การมาคริสตจักร การถวายทรัพย์ การทำการดีต่างๆ การเป็นพยาน ไม่ได้ทำเพราะว่าเป็นกฎเกณฑ์ แต่ทำเพราะเราเห็นคุณค่า เราทำเพราะเรารักพระเจ้า เราไม่เอาเสรีภาพมาเป็นข้ออ้างให้เราทำผิด (1ปต.2:16) หรือทำให้คนสะดุด (1คร.8:9)
ดังนั้นเองอย่าทำตามกฎโดยปราศจากความเข้าใจหรือถูกบีบบังคับ แต่ต้องทำด้วยความเข้าใจและเต็มใจ ไม่ใช้เสรีภาพในทางที่ผิดและทำให้คนอื่นสะดุด อย่าเอาวิถีชีวิตเก่ามาใช้ในชีวิตใหม่ (สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.churchofpeace2010.org)

ขอพระเจ้าอวยพรครับ