24 พฤษภาคม 2554

3 ผู้นำกับการทุ่มเทเสียสละ

คุณสมบัติแห่งการเป็นผู้นำ
ตอนที่ 3

“คนจะไม่ตามผู้นำที่ปราศจากความมุ่งมั่นทุ่มเท" คุณจะเห็นถึงความมุ่งมั่นทุ่มเทในทุกเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นจำนวนชั่วโมงที่คุณทำงานอย่างตั้งใจ ความพยายามในการเพิ่มขีดความสามารถของตนเอง หรือแม้แต่สิ่งที่คุณทำเพื่อเพื่อนร่วมงานของคุณ ด้วยการยอมสละความสุขส่วนตัว  (สตีเวน เกร็ก) 
ความทุ่มเทหมายถึงอะไร? สำหรับแต่ละคนก็มีความหมายแตกต่างกันออกไป
สำหรับนักมวย หมายถึง การลุกขึ้นมายืนหยัดอีกหนทุกครั้งที่ถูกต่อยล้มลง
            สำหรับนักวิ่งมาราธอน หมายถึง การวิ่งต่อไปอีก 10 ไมล์ แม้คุณจะหมดแรงแล้วก็ตาม
            สำหรับทหาร หมายถึง การบุกยึดเนินยุทธศาสตร์ โดยไม่รู้ว่าอะไรรออยู่อีกฟากหนึ่ง
            สำหรับมิชชั่นนารี หมายถึง การบอกลาความสะดวกสบาย เพื่อช่วยให้ชีวิตผู้อื่นดีขึ้น
            สำหรับผู้นำ หมายถึง ทั้งหมดที่กล่าวมาและยิ่งไปกว่านั้นอีก เพราะทุกคนที่คุณนำได้ฝากความหวังไว้กับคุณ

            หาคุณอยากเป็นผู้นำที่มีประสิทธิผล คุณจะต้องมีความทุ่มเท ทั้งนี้เพราะความทุ่มเทที่แท้จริงนั้นก่อให้เกิดแรงบันดาลใจและดึงดูดผู้คนมาหาคุณ อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่แสดงให้พวกเขาเห็นด้วยว่าคุณมีหลักการที่คุณยึดมั่น พวกเขาจะเชื่อมั่นในตัวคุณก็ต่อเมื่อคุณชื่อมั่นในอุดมการณ์ของคุณ ดังที่ กฎแห่งความเชื่อมั่นศรัทธา กล่าวว่า “ผู้คนจะเชื่อมั่นในตัวผู้นำก่อน แล้วจึงจะเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของผู้นำ”
            ความทุ่มเทที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร? จงพิจารณาข้อสังเกต 3 ประการต่อไปนี้

1. ความทุ่มเทเริ่มต้นที่ใจ
บางคนต้องการให้ทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยสมบูรณ์เสียก่อนแล้วจึงจะมีใจทุ่มเทให้กับสิ่งใดๆ แต่ทว่าความทุ่มเทนั้นต้องมาก่อนความสำเร็จเสมอ มีคนบอกว่า ในเคนตักกี้ดาร์บี้ซึ่งเป็นการแข่งม้าอันยิ่งใหญ่ประจำปี ม้าตัวที่ชนะนั้นหมดออกซิเจนหายใจตั้งแต่ครึ่งไมล์แรกแล้ว และที่วิ่งต่อไปได้ก็ด้วยแรงใจเท่านั้น นี้เป็นเหตุผล ที่บรรดานักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ต่างก็ยอมรับถึงความสำคัญของใจ ไมเคิล จอร์แดน นักบาสเก็ตบอล เจ้าตำนานแห่ง NBA อธิบายว่า “ใจคือสิ่งที่แยกแยะผลงานที่ยิ่งใหญ่ออกจากผลงานที่ดี” หากคุณในฐานะผู้นำต้องการสร้างสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นในชีวิตผู้อื่นจงมองลึกเข้าไปในใจคุณว่ามีความทุ่มเทอย่างแท้จริงหรือไม่
เช่นเดียวกับพระวจนะให้ความสำคัญกับทัศนคติ หรือท่าทีภายใน ความทุ่มเทในการรับใช้ที่แสดงออกมา ย่อมเป็นภาพสะท้อนมาจากจิตใจภายในที่ร้อนรนอยากเห็นงานของพระเจ้าสำเร็จ (สุภาษิต 4:23 ...ชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ)

2. ความทุ่มเททดสอบได้ด้วยการกระทำ
การที่จะพูดถึงความทุ่มเทก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การลงมือกระทำจริงๆ นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง สิ่งเดียวที่สามารถวัดความทุ่มเทได้ อย่างแท้จริงก็คือ การกระทำ อาร์เธอร์ กอร์ดอน ยอมรับว่า “ไม่มีอะไรง่ายเท่ากับการพูด แต่ก็ไม่มีอะไรยากเท่ากับการที่จะทำให้ได้ตามที่พูดไว้ วันแล้ววันเล่า” คุณหละเป็นอย่างไรในเรื่องของการลงมือทำอย่างจริงจังให้สำเร็จลุล่วงตามที่ได้บอกคนอื่นไว้?
อาจารย์เปาโลเป็นแบบอย่างในทุ่มเท ท่านสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าท่านทำงานหนัก (1โครินธ์ 15:10 แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นอยู่อย่างที่เป็นอยู่นี้ ก็เนื่องด้วยพระคุณของพระเจ้าและพระคุณของพระองค์ซึ่งได้ทรงประทานแก่ข้าพเจ้านั้น มิได้ไร้ประโยชน์ ตรงกันข้ามข้าพเจ้ากลับทำงานมากกว่าพวกเขาเสียอีก มิใช่ตัวข้าพเจ้าเองทำ พระคุณของพระเจ้าซึ่งดำรงอยู่กับข้าพเจ้าต่างหากที่ทำ)

3. ความทุ่มเทคือประตูไปสู่ความสำเร็จ
ในฐานะผู้นำจะต้องเผชิญอุปสรรคและการขัดขวางนานับประการ หากคุณยังไม่เคยประสบ และจะมีหลายต่อหลายครั้งที่มีเพียงความมุ่งมั่นทุ่มเทเท่านั้นที่จะผลักดันให้คุณมุ่งหน้าต่อไปได้ ดังที่ เดวิด แม็คแนลลี่ กล่าวไว้ว่า “ความมุ่งมั่นทุ่มเทจะช่วยให้คุณเอาชนะอุปสรรคที่ขวางกั้น เพราะเป็นเหมือนคำมั่นสัญญาที่คุณได้ให้ไว้อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า คุณจะยังคงพยายามต่อไปโดยไม่ลดละ และจะยังคงลุกขึ้นมาใหม่ทุกครั้งที่ถูกซัดล้มลง”
เช่นเดียวกับความเชื่อคริสเตียนต้องมีความเพียรพยายามจึงจะไปถึงเป้าหมายได้ (ฮีบรู 12:1 ... ก็ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่และบาปที่เกาะแน่น ขอให้เราวิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม ...)

การนำไปปฏิบัติ : ในการพัฒนาความทุ่มเท จงทำสิ่งต่อไปนี้
วัดความทุ่มเท : ลองใช้เวลาสัก 2-3 ชั่วโมง ใคร่ครวญว่าคุณได้ใช้เวลาและเงินทองไปอย่างไรบ้าง คุณใช้เวลามากน้อยแค่ไหนกับการทำงาน การทำประโยชน์ การให้เวลาครอบครัว การร่วมกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพหรือสันทนาการ และอื่นๆ ลองคำนวณคร่าวๆ ดูว่าคุณใช้เงินทองไปมากน้อยแค่ไหนกับเรื่องอาหารการกิน การบันเทิง การพัฒนาตัวเอง รวมทั้งการบริจาค ทั้งหมดนี้จะเป็นเครื่องชี้วัดได้อย่างแท้จริงถึงระดับแห่งความทุ่มเทของคุณ คุณอาจแปลกใจก็ได้กับสิ่งที่ค้นพบ
รู้ว่าอะไรมีคุณค่าพอที่จะยอมอุทิศชีวิตให้ : คำถามหนึ่งที่ผู้นำทุกคนต้องถามตนเองก็คือ “อะไรคือสิ่งที่ฉันจะยอมอุทิศชีวิตให้ได้?” หากต้องเลือกมีสิ่งใดในชีวิตที่คุณจะยังคงทำอย่างต่อเนื่อง แม้จะเกิดผลเช่นไรก็ตาม? จงหาเวลาสงบตามลำพังเพื่อใคร่ครวญสิ่งเหล่านี้ บันทึกสิ่งที่ค้นพบ จากนั้นจงพิจารณาว่าการกระทำของคุณสอดคล้องกับอุดคติของคุณหรือไม่
ใช้วิธีการของเอดิสัน : ถ้าคุณมีปัญหาในการเริ่มต้นที่จะมุ่งมั่นทุ่มเทกับสิ่งใดก็ตาม ก็ลองทำแบบเดียวกับ โธมัส เอดิสัน คือเมื่อเขามีความคิดในการประดิษฐ์อะไรสักอย่าง เขาจะเชิญสื่อมวลชนมาเพื่อแถลงให้ทราบ จากนั้นเขาจะเข้าไปในห้องทดลองและประดิษฐ์สิ่งนั้นขึ้นมา การแจ้งผลงานของคุณให้สาธารณะชนรับรู้นั้น อาจทำให้คุณเองมีความทุ่มเทมากขึ้นและมุ่งมั่นจนสำเร็จได้

คำถามเพื่ออภิปราย : คุณเป็นคนที่ทุ่มเทหรือไม่ เพราะเหตุใด?

ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ : ฮีบรู 12:1 เหตุฉะนั้น เมื่อเรามีพยานพรั่งพร้อมอยู่รอบข้างเช่นนี้แล้ว ก็ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่น ขอให้เราวิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม ตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับเรา


ที่มา: ปรับปรุงจาก John C. Maxwell, 21 คุณสมบัติหลักแห่งการเป็นผู้นำ.

22 พฤษภาคม 2554

ได้รับงานที่ดี



ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ



เมื่อเราได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ความอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น

นมัสการพระเจ้าร่วมกับคริสตจักรมหาชล


วันนี้คริสตจักรแห่งสันติภาพได้มีโอกาสร่วมนมัสการพระเจ้าที่คริสตจักรมหาชล โดยมีการเทศนาพิเศษโดยท่าน อ.ปีเตอร์ แวกเนอร์ Dr.C Peter Wagner ที่มีโอกาสมาบรรยายพิเศษให้กับเราและมีพี่น้องจากคริสตจักรอื่นๆมาร่วมการนมัสการในเช้าวันอาทิตย์นี้

21 พฤษภาคม 2554

ความอัศจรรย์ของพระวจนะ

สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม 2011

พระธรรม ฮีบรู 4:12
พระวจนะของพระเจ้าตอนนี้ได้บอกให้เรารู้ถึงความยิ่งใหญ่และอัศจรรย์ของพระวจนะของพระเจ้า เราได้เห็นถึงสถิติมากมากเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าหรือพระคัมภีร์ที่เราอ่าน เช่น เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดในโลก เป็นหนังสือที่มีคนอ่านมากที่สุดในโลก เป็นหนังสือที่มีการแปลเป็นภาษาอื่นๆมากที่สุดในโลก เป็นหนังสือที่มีการพิมพ์ซ้ำมากที่สุดในโลก และเป็นหนังสือที่มีผลต่อชีวิตของผู้อ่านมากที่สุดในโลกเช่นกัน ผมอยากจะชี้ให้เห็นถึงความอัศจรรย์ของพระวจนะของพระเจ้า จากพระธรรมฮีบรู 4:12 ว่ามีอะไรบ้างอย่างน้อย 3 ประการดังนี้
1. ไม่ตาย (ฮบ.4:12)
พระคัมภีร์ได้บอกให้เรารู้อย่างชัดเจนว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตาย นั่นก็หมายความว่าต้องเป็นอยู่ หรือมีชีวิต ถ้าเราเปรียบพระวจนะของพระเจ้าเป็นเหมือนเมล็ดพืช ก็เป็นเมล็ดพืชที่มีชีวิต เมื่อเราเอาไปปลูกเมล็ดนั้นก็จะงอกออกมาเป็นต้นได้ ดังนั้นเองเมื่อพระวจนะของพระเจ้าไปตกอยู่ในผู้ใดพระวจนะนั้นก็จะงอกขึ้นในคนนั้น พระวจนะอยู่ในใครคนนั้นก็มีชีวิต พระเยซูบอกว่า มนุษย์จะชีวิตได้ก็ต้องบำรุงด้วยพระวจนะทุกคำที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ด้วย (มธ.4:4) ไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร พระวจนะของพระเจ้าก็ยังคงอยู่ (ฮบ.13:8) ตราบใดที่ฟ้าและดินยังดำรงอยู่ (มธ.5:18) พระวจนะของพระเจ้าไม่ตาย (สดด.119:89) พระเยซูยืนยันอย่างหนักแน่น (มธ.24:35) พระวจนะของพระองค์ไม่ได้เป็นโมฆะ (ลก.16:17) พระวจนะของพระเจ้าก็ยังคงดำรงอยู่ (อสย.40:8) นี่เป็นความอัศจรรย์ของพระวจรนะของพระเจ้า
2. มีฤทธิ์อำนาจ (ฮบ.4:12)
ความอัศจรรย์ของพระวจนะของพระเจ้าไม่เพียงแต่ไม่ตาย แต่ยังมีฤทธิ์อำนาจอีกด้วย พระคัมภีร์บอกต่อไปว่า พระวจนะนั้นทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คือทรงฤทธิ์เดช หรือมีฤทธิ์อำนาจ เมื่อถึงวันเวลาของพระเจ้าพระองค์จะทรงใช้พระวจนะหรือข่าวประเสริฐของพระองค์ ทำการพิพากษาความผิดของมนุษย์ (รม.2:16) ถ้าเราไม่ต้องการถูกพิพากษาด้วยพระวจนะของพระเจ้า เราต้องรับเอาพระวจนะของพระเจ้า (ยน.5:24) พระเยซูยืนยันอย่างชัดเจนว่าถ้าผู้ใดไม่รับคำของพระองค์ผู้นั้นจะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาคือคำที่ได้กล่าวแล้วนั้น (ยน.12:48) นี่คือความอัศจรรย์ของพระวจนะ คือมีฤทธิ์อำนาจ 
3. เปลี่ยนชีวิตเราได้ (ฮบ.4:12)
พระคัมภีร์บอกว่าพระวจนะของพระเจ้าคมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย นั่นแสดงให้เห็นความอัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งของพระวจนะ ซึ่งมีความสามารถหลายอย่าง มีทั้งความคม มีทั้งความแหลม และความสามารถในการวินิจฉัยความคิดและจิตใจของคนได้  พระวจนะของพระเจ้าจะเข้าไปเปลี่ยนชีวิตของเรา จะเข้าไปชำแหละชีวิตของเราให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดการปรับปรุงแก้ไขชีวิตของเราให้ดีขึ้น (2ทธ.2:16) ชีวิตของเราจะได้รับการชำระให้สะอาด (ยน.15:3) พระเยซูอธิษฐานต่อพระบิดาขอทรงชำระคนบาปด้วยความจริง (ยน.17:17) นี่เป็นความอัศจรรย์ของพระวจนะของพระเจ้าอีกอย่างหนึ่ง คือ เปลี่ยนชีวิตของเราได้ 
จงนอมรับเอาพระวจนะของพระเจ้าเข้ามาไว้ในชีวิต เพื่อให้พระวจนะของพระเจ้าออกฤทธิ์ในชีวิตของเรา เพื่อรับพระพรจากพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์และทรงพระชนม์เป็นนิจ (สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ www.churchofpeace2010.org)

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

19 พฤษภาคม 2554

พระเจ้าทรงรักทุกคน

                          ขอบคุณในความรักของพระเจ้าที่มีต่อเราเสมอ พระองค์ไม่เคยหยุดรักเราเลยแม้ว่าเราจะบกพร่องหรือว่าขัดสนยากจน พระองค์ก็ยังคงรักเราเหมือนเดิม ความจริงผมอยากจะบอกว่าพระเจ้ายิ่งรักเรามากขึ้นด้วยซ้ำที่เห็นเราอ่อนแอ หรือว่าขัดสน พระองค์ทรงมีพระทัยเมตตาต่อเราเสมอ พระองค์ทรงกรุณาต่อหญิงม่ายและลูกกำพร้าเป็นพิเศษ พระองค์จะทรงประทานกำลังกับผู้ที่อ่อนกำลัง พระองค์จะทรงประทานทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์ให้กับผู้ที่ขัดสนที่เดินอยู่ในทางของพระองค์อย่างสัตย์ซื่อ

              พระเจ้าเป็นเหมือนพ่อแม่ที่คอยดูแลเอาใจใส่ลูกของตนอย่างดีที่สุด ชนิดที่เรียกว่า มดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยที่เดียว ความรักของพระเจ้าเราสามารถดูได้จากความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก ซึ่งความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกนั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น เพราะเนื่องจากความพ่อแม่ของเราเป็นคนบาปได้เสื่อมไปจากพระสิริของพระเจ้า หรือเสื่อมไปจากพระลักษณะของพระเจ้า ทำให้ความรักที่พ่อเเม่แสดงออกมานั้นอาจจะเจือปนไปด้วยความคิด ความรู้สึก หรืออาจจะเจือปนไปด้วยอารมณ์ของตนเอง ทำให้ลูกๆอาจจะเข้าใจหรือแปลความหมายความรักของพ่อผิดไป จนบางครั้งเวลาพูดถึงความรักของพระเจ้าเปรียบเหมือนความรักของพ่อแม่ทำให้บางคนเกิดความกลัว หรือเข็ดขยาด เพราะคิดว่าความรักของพระเจ้าจะรุนแรงและเจ็บปวด หรือโหดร้ายเหมือนกับความรักที่พ่อแม่แสดงออก ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดอย่างมาก เพราะว่าพระเจ้าไม่เหมือนพ่อแม่ของเราที่เป็นคนบาป พระองค์เป็นพระเจ้าที่ปราศจากบาป ความรักของพระองค์จึงแตกต่างจากความรักของพ่อแม่ของเราอย่างมาก เป็นความรักที่ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน เป็นความรักที่ไม่จดจำความผิด เป็นความรักที่เสียสละ และเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่ได้แบ่งชนชั้นวรรณะ หรือชายหญิง หรือเด็กผู้ใหญ่ หรือรวยจน แต่เป็นความรักที่ให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน

              ถ้าหากท่านใดต้องการที่อยากจะสัมผัสความรักของพระเจ้า ผมอยากจะเชิญชวนให้เข้ามาแสวงหาความรักของพระองค์ ด้วยการอธิษฐานขอให้ความรักของพระเจ้าเข้ามาในจิตใจของท่าน ให้พระเจ้าเติมความรักของพระองค์ให้เต็มในหัวใจของท่านสิครับ แล้วท่านจะพบว่าความรักของพระเจ้านั้นอัศจรรย์จริง

               หากท่านต้องการจะศึกษาเพิ่มเติม ขอเรียนเชิญที่คริสตจักรแห่งสันติภาพ (โรงเรียนบางกะปิ ตรงข้ามนิด้า) ทุกวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 09.00-12.00 น หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 089-6987 452 หรือคริสตจักรที่อยู่ใกล้บ้านของท่านก็ได้ครับ

14 พฤษภาคม 2554

เอเสเคียลในศตวรรษที่ 21

สรุปคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม 2011

พระธรรม เอเสเคียล 37:1-7
พระธรรมเอเสเคียลตอนนี้เป็นตอนที่พระเจ้าได้พาเอเสเคียลไปในหุบเขาที่มีกระดูกแห้ง ซึ่งเป็นเสมือนสุสาน ซึ่งพระคัมภีร์ได้บอกว่าที่นั่นมีกระดูกแห้งเต็มหมด พระคัมภีร์ใช้คำว่า “มากมายเหลือเกิน” มองไปทางไหนก็มีแต่กระดูกแห้ง เดินไปทางไหนก็มีแต่กระดูกแห้งทั้งนั้น กระดูกเหล่านี้ก็เปนียบเสมือนคนที่หมดความหวัง หมดอาลัยตายอยาก คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า รวมถึงคริสเตียนที่ไม่ร้อนรน ไม่เอาจริงเอาจังด้วย ซึ่งเปรียบเสมือนยักษ์ที่หลับอยู่ รอเวลาที่จะมีคนมาปลุก พระเจ้าได้ถามเอเสเคียลว่า “กระดูกเหล่านี้จะมีชีวิตได้อีกหรือเปล่า” เอเสเคียลตอบว่า “พระองค์ก็ทรงทราบอยู่แล้ว” เราเห็นใน อสค.37:10 กระดูกเหล่านั้นก็ “มีชีวิตแล้วก็ยืนขึ้นเป็นกองทัพใหญ่โตจริงๆ” พระเจ้าใช้เอเสเคียลให้มาปลุกกระดูกเหล่านั้นให้ลุกขึ้น กลับมามีชีวิต ในปัจจุบันนี้พระเจ้าก็จะใช้เราทั้งหลายที่นี่มาปลุกกระดูกที่แห้งอยู่เวลานี้ให้กลับมามีชีวิตและเป็นกองทัพของพระเจ้า เรามาดูว่าเอเสเคียลในตอนนั้นเป็นอย่างไร เอเสเคียลในศตวรรษที่ 21 ก็จะทำอย่างนั้นด้วย 3 ประการ
1. พระเจ้าอยู่ด้วย (อสค.37:1-2)
พระหัตถ์ของพระเจ้ามาอยู่เหนือข้าพเจ้า นั่นแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงอยู่ด้วย ไม่เพียงเท่านั้น พระวิญญาณยังทรงนำไปด้วย พระเจ้าอยู่กับเอเสเคียล เจิมอยู่เหนือชีวิตของท่าน เมื่อพระเจ้าอยู่ด้วยเราจึงเห็นความสำเร็จ เราเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า คนในพระคัมภีร์มากมายที่เราเห็นที่พระเจ้าอยู่ด้วย เช่น อิสอัค (ปฐก.26:3) ยาโคบ (ปฐก.31:3)  เป็นต้น เมื่อพระเจ้าอยู่กับคนเหล่านั้น พระเจ้าก็จะอยู่กับเราเช่นเดียวกัน พระเจ้าสัญญาว่าจะอยู่กับเราจนกว่าจะสิ้นยุค (มธ.28:19-20)
2. มีความเชื่อ (อสค.37:3)
เอเสเคียลมีความเชื่อว่าพระเจ้าสามารถทำได้ทุกสิ่ง เมื่อพระเจ้าตรัสถามว่า “กระดูกเหล่านี้จะมีชีวิตได้ไหม” เอเสเคียลตอบอย่างมั่นใจทันทีเลยว่า “พระองค์ก็ทรงทราบอยู่แล้ว” นี้คือคำตอบของเอเสเคียล ผู้มีความเชื่ออย่างไม่สงสัย ไม่ต้องอธิบายให้ยืดยาว  แต่เป็นความมั่นใจในพระเจ้า เชื่อแม้ว่ายังมองไม่เห็นด้วยตาว่าสิ่งนั้นจะเป็นจริง (ฮบ.11:1) ถ้าเชื่อเราจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า (ยน.11:1) เห็นเพราะความเชื่อ (มธ.9:29) ผีออก เพราะความเชื่อของเธอ (มธ.15:28) ถ้าไม่มีความเชื่อก็จะไม่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า (ฮบ.11:6) ดังนั้นอย่าให้เราขาดความเชื่อ อย่าให้มารมาฉกชิงเอาความเชื่อไปจากเรา เราต้องรักษาความเชื่อเอาไว้
3. ลงมือทำ (อสค.37:7)
เมื่อพระเจ้าบอกเอเสเคียลเสร็จ เอเสเคียลก็เผยพระวจนะใส่กระดูกเหล่านั้นตามที่พระเจ้าบอกทันที เอเสเคียลไม่เพียงแต่มีความเชื่อ แต่ยังเชื่อฟังพระเจ้าและลงมือทำทันที นี้เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการอัศจรรย์ขึ้น เราต้องเร่งลงมือทำทันที  คริสเตียนมีความเชื่อในพระเจ้า รู้ว่าพระเจ้าอยู่ด้วย แต่สิ่งที่ยังขาดอยู่คือ การลงมือทำอย่างทันทีทันใด บางครั้งมองดูคนอื่นก่อนว่ามีใครทำบ้างมั้ย ถ้าไม่มีฉันก็ไม่ทำ  หลายคนคอยฟังเสียงพระเจ้าอยู่ว่าเมื่อไหร่พระเจ้าจะเรียกสักที ผมขอบอกให้ทุกท่านทราบว่า พระเจ้าเรียกเราตั้งแต่วันแรกที่เรามาเชื่อพระเจ้าแล้วว่า  พระเยซูไม่ได้รีรอที่จะทำการของพระเจ้า (มธ.14:14) โคเนลิอัสกับเปโตรก็เช่นกันทั้งสองได้ตอบสนองพระเจ้าทันที (กจ.10:30-33) อ.เปาโลก็หาโอกาสทันทีที่จะประกาศกับคนต่างชาติ (กจ.16:10)

ถ้าเราจะเป็นเอเสเคียลในศตวรรษที่ 21 เราจะต้องมีความเชื่อ และเชื่อว่าพระเจ้าทรงอยู่ด้วยกับเรา และเราลงมือทำทันที เราไม่มีเวลาที่จะเสียไปอีกแล้ว ให้เรามั่นใจในพระเจ้าผู้ทรงเรียกเรามา ให้นำคนมากมายมารู้จักพระเจ้า พระเจ้าเรียกเราให้มาเป็นคนปลุกยักษ์ให้ตื่นขึ้น ให้เป็นกองทัพใหญ่ของพระเจ้าในยุคนี้ (สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.churchofpeace2010.org)

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

10 พฤษภาคม 2554

ขอบคุณพระเจ้า


ขอบคุณพระเจ้าที่พระเจ้าทรงอยู่ร่วมกับพวกเราในค่ายที่พวกเรา 2 คริสตจักรได้ร่วมกันจัด เราได้เห็นการเคลื่อนไหวของพระเจ้าท่ามกลางพวกเรา ทำให้เราต่างก็เต็มไปด้วยพระพร อัดแน่นไปด้วยพระวจนะของพระเจ้า เต็มอิ่มไปด้วยการนมัสการทั้ง 3 วัน 2 คืน สุขสนุกสนานกับกีฬาและสันทนาการ
หลายคนบอกว่าเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วจริง ไม่อยากจากกันเลย อยากจะอยู่ด้วยกันให้นานกว่านี้อีก ขอบคุณพระเจ้าที่ชาวค่ายผูกพันกัน
เราต่างก็มีเป้าหมายที่และสิ่งที่พระเจ้าได้พูดกับเรา ที่เราจะกลับมาแล้วเราจะทำร่วมกันเพื่อขยายอาณาจักรของพระเจ้า พวกเราเชื่อว่า พระเจ้าจะทรงทำให้สำเร็จตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องชาวค่ายและสมาชิกของคริสตจักรแห่งพระคุณและคริสตจักรแห่งสันติภาพ ให้มีชีวิตที่เกิดผลในทุกๆด้านครับ

02 พฤษภาคม 2554

ไม่ต้องกลัว


                เมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม 2011 ท่านอาจารย์ ดร.เลิศ ทิศยากร ได้มาเทศนาที่คริสตจักร พวกเราได้รับพระพรอย่างมาก ขอบคุณพระเจ้า ท่านได้แบ่งปันในพระธรรมโรมบทที่ 8 ข้อ 15 ขอเดียว แต่เป็นข้อเดียวที่ให้ข้อคิดและหลักการในการดำเนินชีวิตคริสเตียนของเราได้อย่างดี

ผมจึงขอนำมาเเบ่งปันไว้ ณ ที่นี้

                 โรม 8:15 เหตุว่าท่านไม่ได้รับน้ำใจทาสซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีก   แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทรงให้เป็นบุตรของพระเจ้า   ให้เราทั้งหลายร้องเรียกพระเจ้าว่า   อับบา”   คือพระบิดา 

                ท่านอาจารย์ได้ชี้ให้เห็นความพิเศษของคำ 2 คำ ของพระวจนะข้อนี้ คำเเรก ก็คือคำว่า "น้ำใจทาส" กับอีกคำหนึ่งคือ "อับบา" ที่แปลว่าพระบิดา

สองคำนี้มีความหมายพิเศษมากสำหรับเราทั้งหลายที่เป็นผู้เชื่อ อาจารย์ได้ให้คำอธิบายคำว่า “น้ำใจทาส” ในที่นี้นั้น ความจริงแล้ว คำว่า “น้ำใจ” ในที่นี้ ในภาษากรีก คือคำว่า “นิวมา” ซึ่งหมายถึง ลม, พระวิญญาณ

ดังนั้นที่โรมบทที่ 8 ข้อ 15 ได้บอกว่า “เหตุว่าท่านไม่ได้รับน้ำใจทาส” แต่ได้รับ “พระวิญญาณ” ของพระเจ้า จึงไม่ทำให้เราต้องตกอยู่ในความกลัวอีกต่อไป เพราะว่า เราไม่ได้เป็นทาส แต่เราเป็นไท เรามีอิสรภาพในพระเยซูคริสต์

“ความกลัว” ทำให้เราท้อแท้ แต่พระเจ้าได้ประทานฤทธิ์แห่งความรักความกล้าหาญให้กับเรา
2 ทิโมธี 1:7 เพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงประทานจิตที่ขลาดกลัวให้เรา   แต่ได้ทรงประทานจิตที่กอปรด้วยฤทธิ์   ความรัก   และการบังคับตนเองให้แก่เรา  
1 ยนห์น 4:18 ในความรักนั้นไม่มีความกลัว   แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ได้ขจัดความกลัวเสีย   เพราะความกลัวเข้ากับการลงโทษและผู้ที่มีความกลัวก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์

ดังนั้นการดำเนินชีวิตคริสเตียนของเราจึงไม่ต้องตกอยู่ภายใต้ความกลัวอีกต่อไป เพราะว่าเราไม่ได้เป็นทาสแล้ว เราอย่าปล่อยให้มารหรอกความคิดเรา และอย่าทำตัวเองให้เป็นทาสของมารอีกต่อไป
อีกคำหนึ่งคือคำว่า “อับบา” ที่แปลว่า “พระบิดา”  พระคัมภีร์ได้บอกให้เรารู้ว่า พระเจ้าได้ทรงประทานพระวิญญาณบริสูทธิ์ให้กับเรา เพื่อให้เราเป็นลูกของพระเจ้า เราจึงสามารถเรียกพระเจ้าว่า “พ่อ”

ความจริงแล้วพระคัมภีร์ได้บอกว่า “ให้เราทั้งหลายร้องเรียกพระเจ้าว่า “พระบิดา” (ก็คือพ่อนั่นเอง) พระเจ้าเป็นพ่อของเรา หลายคนพอพูดถึงคำว่า “พ่อ” แล้วอาจจะรับไม่ได้ เพราะว่าติดภาพของพ่อที่ลงโทษอย่างรุนแรง หรือเห็นภาพที่พ่อทำร้ายแม่ หรือเป็นภาพพ่อที่เมาเหล้าขาดความรับผิดชอบ มีบาดแผลอยู่ในใจทำให้รับไม่ได้กับคำว่า “พ่อ”

แต่จะขอบอกว่า “พ่อ” คนนี้ ไม่เหมือนพ่อของเราที่ทำทารุนโหดร้ายกับเรา หรือกับแม่ของเรา หรือกับใครๆที่เกี่ยวข้องกับเรา แต่ “พ่อ” คนนี้ มีความรักความเมตตาอยู่เสมอ เป็นพ่อที่พร้อมจะยื่นมือเข้ามาหาในยามที่ลูกๆต้องการ ในยามที่ลูกๆตกระกำลำบาก

“พ่อ” คนนี้พร้อมที่จะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกของท่านเสมอ เรารู้ได้อย่างไรว่า “พ่อ” คนนี้เป็นอย่างนั้น พระวจนะของพระเจ้าได้บอกเราไว้ใน
ลูกา 11:11-13 11มีผู้ใดในพวกท่านที่เป็นบิดา   ถ้าบุตรขอ (สำเนาโบราณหลายฉบับ   เพิ่มว่า   ขนมปัง   จะเอาก้อนหินให้เขาหรือ   หรือถ้าขอ) ปลาจะเอางูให้เขาแทนหรือ 12หรือถ้าขอไข่   จะเอาแมงป่องให้เขาหรือ 13เพราะฉะนั้นถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนบาปยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน   ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด   พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์   จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์  

พ่อในโลกนี้ที่เป็นคนบาปยังรู้จักให้ของดีกับบุตรของตนเลย แล้วทำไม “พ่อ” คนนี้ของเราที่ตายเพื่อเราจะไม่ให้ของที่ดีกว่ากับเราทั้งหลายที่เป็นลูกของพระองค์หรือ

“พ่อ” คนนี้ของเรา ก็เป็น “พ่อ” ที่ขี้อวดเหมือนกับพ่อทุกๆคนบนโลกนี้เหมือนกัน เราเห็นได้จากที่ “พ่อ” คนนี้อวดลูกของพระองค์ใน โยบ 1:8 8และพระเจ้าตรัสกับซาตานว่า   เจ้าได้ไตร่ตรองดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่   ว่าในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา   เป็นคนดีรอบคอบและเที่ยงธรรม   เกรงกลัวพระเจ้าและหันเสียจากความชั่วร้าย

พระเจ้าพูดอวดกับซาตานว่า “โยบเป็นคนดีรอบคอบและเที่ยงธรรม ในแผ่นดินโลกนี้ไม่มีใครเหมือนเขาเลย” พระเจ้าภาคภูมิใจในลูกของพระองค์เสมอ

หลายคนคงคิดในใจว่า ก็เราไม่เหมือนโยบนี่ พระองค์จะยังทรงรักเราหรือ ก็ขอบอกเอาไว้ที่นี้เลยว่า พระองค์ยังทรงรักเราอยู่เสมอ แม้เราไม่เหมือนโยบ แต่เราก็ยังเป็นลูกของพระองค์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เหมือนกับชีวิตของเรา เมื่อเราเกิดมาใหม่ๆ เราเป็นทารก เราก็เป็นลูกของพ่อแม่ เมื่อเราโตขึ้นเป็นหนุ่มเป็นสาว เราก็ยังเป็นลูกของพ่อแม่ และเมื่อเราโตขึ้นมาอีก เราแต่งงานเปลี่ยนนามสกุลไปแล้ว เราก็ยังเป็นลูกของพ่อแม่อยู่ ความเป็นลูกไม่ได้หมดไปตามกาลเวลาฉันใด ความเป็นลูกของพระเจ้าก็ไม่ได้หมดไปตามความชั่วดีของเรา เรายังเป็นลูกของพระองค์เสมอ

ตัวอย่างที่ดีที่สุดของ “พ่อ” คนนี้ก็คือ บิดาของบุตรน้อยที่หลงหายไป เฝ้าคอยลูกกลับมาหาทุกวัน เมื่อลูกกลับใจใหม่กลับมาหาพ่อ พ่อก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรสักคำ แต่กลับจัดงานต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่

“พ่อ” คนนี้ ไม่เหมือนพ่อที่เป็นคนบาป แต่เป็นพ่อที่พร้อมจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ คอยปลอบใจ คอยให้กำลังใจ คอยดูอยู่ไม่ให้คลาดสายตา คอยว่าเมื่อไหร่ลูกของพระองค์จะกลับมา และเมื่อลูกกลับมา “พ่อ” คนนี้ก็จะเปรมปรีเป็นอย่างมาก เหมือนในคำอุปามาในพระธรรมลูกา

ลูกา 15:3-7  3พระองค์จึงตรัสคำเปรียบให้เขาฟังดังต่อไปนี้ว่า 4ในพวกท่านมีคนใดที่มีแกะร้อยตัว   และตัวหนึ่งหายไป   จะไม่ละเก้าสิบเก้าตัวนั้นไว้ที่กลางทุ่งหญ้า   และไปเที่ยวหาตัวที่หายไปนั้นจนกว่าจะได้พบหรือ 5เมื่อพบแล้วเขาก็ยกขึ้นใส่บ่าแบกมาด้วยความเปรมปรีดิ์ 6เมื่อมาถึงบ้านแล้ว   จึงเชิญพวกมิตรสหายและเพื่อนบ้านให้มาพร้อมกัน   พูดกับเขาว่า   'จงเปรมปรีดิ์กับข้าพเจ้าเถิด   เพราะข้าพเจ้าได้พบแกะของข้าพเจ้าที่หายไปนั้นแล้ว' 7เราบอกท่านทั้งหลายว่า   เช่นนั้นแหละ   จะมีความปรีดีในสวรรค์   เพราะคนบาปคนเดียวที่กลับใจใหม่   มากกว่าเพราะคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคนที่ไม่ต้องการกลับใจใหม่

ดังนั้นให้เรากลับใจใหม่ กล้าที่จะกลับมาหาพระเจ้า ไม่ต้องกลัวว่าพระเจ้าจะไม่รับเรา พระองค์พร้อมที่จะรับเรา ให้โอกาสกับเรา ให้อภัยเรา ให้สิ่งที่ดีต่างๆกับเรา พระองค์ทรงยอมรับเราอย่างที่เราเป็น จงกลับมาหาพระเจ้าตั้งแต่ยังมีเวลาและโอกาสอยู่เถอะครับ

ขอพระเจ้าอวยพรครับ